ครม. เห็นชอบร่างพ.ร.ก.ปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์และกำกับสินทรัพย์ดิจิทัล เตรียมบังคับใช้สงกรานต์ 2568
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) สองฉบับสำคัญ ได้แก่ ร่างพ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และร่างพ.ร.ก.การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยีและสร้างมาตรการกำกับดูแลธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลให้รัดกุมยิ่งขึ้น
สำหรับร่างพ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า ร่างพ.ร.ก.ไซเบอร์ นั้น มีเป้าหมายหลักในการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกระทำของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนอย่างกว้างขวาง ผ่านวิธีการต่าง ๆ เช่น การโทรศัพท์หลอกลวง การส่งข้อความหลอกขอข้อมูลส่วนบุคคล หรือการส่งลิงก์ให้ติดตั้งแอปพลิเคชันที่เป็นอันตราย
คาดว่าร่างพ.ร.ก.ทั้งสองฉบับจะมีผลบังคับใช้ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2568 นี้ ซึ่งสาระสำคัญของร่างพ.ร.ก.ไซเบอร์ประกอบด้วย การกำหนดให้สถาบันการเงิน ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์ และผู้ให้บริการโทรคมนาคมอื่น ๆ มีส่วนร่วมรับผิดชอบในการป้องกันและแก้ไขปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยี รวมถึงการคืนเงินให้กับผู้เสียหายได้อย่างรวดเร็วขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มบทกำหนดโทษสำหรับผู้กระทำความผิดที่ครอบคลุมไปถึงสถาบันการเงินหรือผู้ประกอบธุรกิจตามกฎหมายว่าด้วยการชำระเงินและธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ตลอดจนผู้ซื้อและขายเลขหมายโทรศัพท์ที่ลงทะเบียนไม่ถูกต้องครบถ้วนตามที่กำหนด และถูกนำไปใช้ในการกระทำความผิด
ส่วนร่างพ.ร.ก.การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล มีสาระสำคัญในการกำหนดให้ผู้ประกอบการต่างประเทศที่เข้ามาทำธุรกรรมในประเทศไทยต้องอยู่ภายใต้มาตรการกำกับดูแล ซึ่งเดิมไม่มีข้อกำหนดดังกล่าว โดยกฎหมายใหม่นี้จะช่วยให้สามารถตรวจสอบเงินที่เกิดจากการกระทำความผิดที่ไหลเข้ามาในระบบสินทรัพย์ดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
การออกร่างพ.ร.ก.ทั้งสองฉบับนี้ เป็นความต่อเนื่องจากการที่รัฐบาลได้ดำเนินการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างเข้มข้นมาตั้งแต่ต้น โดยเริ่มจากการตัดแหล่งพลังงานและสัญญาณอินเทอร์เน็ตตามแนวชายแดนฝั่งประเทศเมียนมา ร่วมมือกับทางการเมียนมาและจีนในการทลายฐานปฏิบัติการ ช่วยเหลือผู้ตกเป็นเหยื่อค้ามนุษย์ และดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้อง รวมถึงประสานงานกับทางการกัมพูชาเพื่อร่วมปราบปรามอีกทางหนึ่ง ส่งผลให้จำนวนคดีและมูลค่าความเสียหายลดลงอย่างเห็นได้ชัด
ด้วยเหตุนี้ การออกกฎหมายดังกล่าวจึงจะช่วยเพิ่มมาตรการแก้ปัญหาและปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น พร้อมทั้งกำหนดบทลงโทษและความรับผิดชอบที่ครอบคลุมกว่าเดิม อย่างไรก็ตาม แม้ว่าภาครัฐจะมีกฎหมายและมาตรการที่เข้มข้นขึ้น แต่ประชาชนก็ยังจำเป็นต้องเพิ่มความระมัดระวังตนเองด้วยเช่นกัน