รู้จัก ‘ปาราชิก’ โทษร้ายแรงสุดในพระวินัย ที่ทำให้พระภิกษุขาดจากความเป็นพระทันที
“ปาราชิก” คำที่พุทธศาสนิกชนหลายท่านน่าจะคุ้นเคย แต่ทราบหรือไม่ว่าคำนี้มีความหมายร้ายแรงเพียงใดในพระธรรมวินัยของพระพุทธศาสนา? ปาราชิกคือโทษทางวินัยสงฆ์ที่หนักหนาสาหัสที่สุด ถือเป็นจุดสิ้นสุดของการเป็นพระภิกษุโดยอัตโนมัติทันทีที่กระทำผิด
ตามความหมายในภาษาบาลี คำว่า “ปาราชิก” มาจากคำว่า “ปราชิก” ซึ่งหมายถึง “ผู้ต้องพ่าย” หรือ “ผู้แพ้แก่ตัวเอง” การต้องอาบัติปาราชิกจึงเปรียบเสมือนการพ่ายแพ้ต่อกิเลสหรือความผิดอย่างรุนแรง จนไม่สามารถเยียวยาแก้ไขได้อีกต่อไป เปรียบดังเมล็ดพืชที่ถูกเผาไหม้แล้ว ไม่สามารถงอกขึ้นมาใหม่ได้อีก
โทษปาราชิกจัดอยู่ในกลุ่ม “ครุกาบัติ” หรืออาบัติหนัก ซึ่งมีบัญญัติไว้อย่างชัดเจนในพระวินัยปิฎก หมวดศีล 227 ข้อ สำหรับพระภิกษุสงฆ์ โดยมีทั้งหมด 4 ข้อหลัก ได้แก่:
- 1. เสพเมถุน: การมีเพศสัมพันธ์กับบุคคลหรือสิ่งใดๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ เพศเดียวกันหรือต่างเพศ อมนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน หรือแม้กระทั่งซากศพ ถือเป็นความผิดปาราชิกข้อแรกและเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก เป็นการผิดศีลข้อกาเมสุมิจฉาจารอย่างรุนแรงในเพศบรรพชิต
- 2. ลักทรัพย์: การขโมยทรัพย์สินของผู้อื่นที่เจ้าของไม่ได้อนุญาตให้ โดยทรัพย์สินนั้นมีมูลค่าตั้งแต่ 5 มาสกขึ้นไป ซึ่งเทียบเป็นมูลค่าในปัจจุบันจะอยู่ที่ประมาณ 1 บาท มูลค่านี้กำหนดขึ้นในสมัยพุทธกาลเพื่อเป็นเกณฑ์ขั้นต่ำที่ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
- 3. ฆ่าคน: การจงใจทำให้มนุษย์เสียชีวิต ไม่ว่าจะลงมือด้วยตนเอง ใช้ให้ผู้อื่นกระทำแทน หรือแม้กระทั่งการพูดชักจูง โน้มน้าวให้บุคคลอื่นยินดีต่อความตาย เช่น การยุยงให้ฆ่าตัวตาย หรือการทำแท้ง ถือเป็นความผิดต่อชีวิตมนุษย์โดยตรง
- 4. อวดอุตริมนุสธรรม: การกล่าวอวดอ้างว่าตนเองได้บรรลุธรรมขั้นสูง มีอภิญญา ได้ฌาน ได้มรรคผลนิพพาน หรือมีคุณวิเศษเหนือมนุษย์ ทั้งที่ความจริงแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้น เป็นการโกหกที่ร้ายแรงที่สุดในทางธรรม เพราะหลอกลวงศรัทธาของผู้อื่น ยกเว้นในกรณีที่พูดไปเพราะเข้าใจผิดจริงๆ โดยไม่มีเจตนาหลอกลวง
พระภิกษุรูปใดที่กระทำความผิดต้องอาบัติปาราชิกข้อใดข้อหนึ่งใน 4 ข้อนี้ จะถือว่า ขาดจากความเป็นพระภิกษุทันที นับตั้งแต่เวลาที่กระทำความผิดสำเร็จ แม้จะยังไม่ได้กล่าวลาสิกขาบท หรือสละเพศบรรพชิตอย่างเป็นทางการก็ตาม
อาบัติปาราชิกเป็นอาบัติประเภท “อเตกิจฉา” หมายถึงแก้ไขไม่ได้ หรือรักษาไม่หาย เมื่อต้องแล้วก็สิ้นสุดความเป็นพระทันที และที่สำคัญคือ ไม่สามารถกลับมาบวชใหม่ได้อีกตลอดชีวิต หากผู้ที่ต้องปาราชิกแล้วยังคงอยู่ในเพศบรรพชิตต่อไป จะถือว่าเป็น “อลัชชี” คือ ผู้ไม่ละอายต่อบาป และไม่สามารถอยู่ร่วมสังฆกรรม หรือทำพิธีทางศาสนาร่วมกับหมู่สงฆ์ที่บริสุทธิ์ได้
บทบัญญัติเรื่องอาบัติปาราชิกนี้จึงถือเป็นหลักสำคัญยิ่งในการรักษาความบริสุทธิ์ของพระพุทธศาสนา และเป็นการปกป้องความศรัทธาของพุทธศาสนิกชนที่มีต่อพระธรรมวินัย เพื่อให้สถาบันสงฆ์ดำรงอยู่ได้อย่างสง่างาม เป็นเนื้อนาบุญ และเป็นที่พึ่งทางใจแก่สังคมสืบไป การศึกษาทำความเข้าใจเรื่องปาราชิกจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับพุทธศาสนิกชนทุกคน เพื่อให้ทราบถึงขอบเขตและข้อห้ามอันเป็นพื้นฐานของการดำรงอยู่ในเพศบรรพชิตอย่างถูกต้องตามพระธรรมวินัย