ไวยาวัจกรวัดไร่ขิง เชื่อเงินอดีตเจ้าอาวาสเป็น ‘ส่วนตัว’ ตกใจยอดสูง ยันบัญชีที่ดูแลปกติ

นครปฐม – ไวยาวัจกรวัดไร่ขิง เปิดเผยข้อมูลภายหลังการสอบสวน ยืนยันขั้นตอนการเบิกจ่ายเงินของวัดมีระเบียบและต้องมีพยานหลายฝ่าย ไม่พบความผิดปกติในบัญชีส่วนที่ดูแล พร้อมแสดงความแปลกใจและเชื่อว่าเงินหลักร้อยล้านที่ถูกกล่าวหาว่ายักยอก อาจเป็นเงินส่วนตัวของอดีตเจ้าอาวาสเอง เพราะเงินวัดตามปกติมีจำนวนไม่มากนัก

วันที่ 16 พฤษภาคม 2568 ณ วัดไร่ขิง จังหวัดนครปฐม นายชาตรี สุขถาวร ไวยาวัจกรวัดไร่ขิง ซึ่งดำรงตำแหน่งกำนันตำบลไร่ขิงด้วย ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนภายหลังการเข้าให้ข้อมูลการสอบสวน คลี่คลายปมเงินวัดหายไปจำนวนมาก

นายชาตรี กล่าวชี้แจงขั้นตอนการเบิกจ่ายเงินของบัญชีวัด ว่า ทุกครั้งที่มีการเบิกจ่าย จะต้องได้รับความเห็นชอบและมีการลงนามอย่างน้อย 2 ใน 3 ของผู้มีอำนาจ ซึ่งได้แก่ เจ้าอาวาส พระผู้ช่วยเจ้าอาวาสจำนวนกว่า 10 รูป หรือไวยาวัจกรที่มีอยู่ 3 คน โดยผู้ลงนามเหล่านี้จะทำหน้าที่เป็นพยานในการเบิกจ่ายแต่ละครั้ง และที่สำคัญคือต้องมีใบสั่งจ่ายแนบมาด้วยเสมอ จะไม่มีการเซ็นชื่อลอยโดยเด็ดขาด บางครั้งกรรมการวัดก็เป็นผู้ขอเบิก ซึ่งก็ต้องผ่านกระบวนการเดียวกัน

เมื่อถูกถามถึงยอดเงินในการเบิกจ่ายแต่ละครั้ง ไวยาวัจกรวัดไร่ขิง ระบุว่า มีหลากหลายตั้งแต่หลักหมื่นไปจนถึงหลักล้านบาท แต่ไม่เคยถึง 10 ล้านบาทในการเบิกครั้งเดียว พร้อมเสริมว่า หากยอดเงินที่ขอเบิกมีจำนวนเกิน 2 ล้านบาท เจ้าหน้าที่ของวัดที่เกี่ยวข้องจะทราบเรื่อง และทางเจ้าหน้าที่ธนาคารก็จะโทรศัพท์กลับมาตรวจสอบยืนยันกับทางวัด เพื่อให้แน่ใจว่าการเบิกจ่ายนั้นถูกต้องตามที่แจ้งไปจริง

สำหรับประเด็นที่สำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (สำนักพุทธฯ) เข้ามาดำเนินการอายัดบัญชีวัดก่อนหน้านี้นั้น นายชาตรี กล่าวว่า ตนไม่ได้รับทราบเรื่องนี้ และได้ชี้แจงว่าตนเองดูแลรับผิดชอบบัญชีของวัดเพียง 4-5 บัญชีเท่านั้น ในขณะที่บัญชีเงินของวัดโดยรวมมีอยู่มากกว่า 10 บัญชี

เมื่อสอบถามถึงความผิดปกติของรายรับรายจ่ายของวัด นายชาตรี ตอบว่า โดยส่วนตัวที่ดูแลบัญชีอยู่ ไม่ได้รู้สึกผิดสังเกต เพราะหลังช่วงสถานการณ์โควิด-19 รายรับของวัดลดน้อยลง แต่รายจ่ายยังคงมีอยู่เหมือนเดิม ซึ่งเป็นเรื่องปกติ ส่วนรายได้สำคัญส่วนหนึ่งของวัดคือค่าเช่าแผงในงานประจำปี ซึ่งล่าสุดได้รับมาประมาณ 10 กว่าล้านบาท และเงินส่วนนี้ก็นำมาใช้จ่ายในการพัฒนาวัดตามวัตถุประสงค์

นายชาตรี ยังได้กล่าวถึงคณะกรรมการวัดว่า ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่เข้ามาช่วยงานวัดเป็นรายปี มีเพียง 2 ท่านที่เป็นเจ้าหน้าที่ประจำ อย่างไรก็ตาม ตนไม่ทราบรายละเอียดว่าพระผู้ช่วยเจ้าอาวาสกว่า 10 รูปนั้น ได้รับมอบหมายให้ดูแลบัญชีวัดส่วนใดบ้าง หรือมีการเบิกจ่ายเงินในส่วนนั้นอย่างไร

สำหรับความกังวลเกี่ยวกับตำแหน่งไวยาวัจกร ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเบิกจ่ายเงิน นายชาตรี ยืนยันว่า ในฐานะเจ้าพนักงาน ตนพร้อมให้ข้อมูลตามความบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้มีส่วนร่วมในการยักยอกเงิน เพราะไม่เคยถือเงินสดของวัด โดยยืนยันว่าใน 5 บัญชีที่ตนดูแลนั้น มียอดเงินรวมไม่ถึงหลักร้อยล้านบาท และผู้ที่รับทราบเรื่องเงินของวัดทั้งหมดอย่างแท้จริงจะต้องเป็นอดีตเจ้าอาวาส เนื่องจากเป็นผู้มีอำนาจหลักในการดูแลทุกบัญชี

เมื่อถามถึงความสัมพันธ์หรือการรู้จักกับ น.ส.อรัญญาวรรณ ซึ่งมีชื่อเกี่ยวข้องกับการโอนเงิน นายชาตรี กล่าวอย่างชัดเจนว่า ไม่รู้จักและไม่เคยพบเห็นบุคคลดังกล่าวมาก่อน ยืนยันว่า น.ส.อรัญญาวรรณ ไม่ได้ทำงานหรือมีความเกี่ยวข้องภายในวัด ตนเพิ่งทราบเรื่องนี้จากข่าวเมื่อวานที่ผ่านมา ส่วนคนขับรถของอดีตเจ้าอาวาส ยอมรับว่าเป็นญาติห่างๆ ที่พักอาศัยอยู่ใกล้วัด และมีความสนิทสนมไว้วางใจ ขับรถให้อดีตเจ้าอาวาสมาเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว

นายชาตรี ปิดท้ายการให้สัมภาษณ์ด้วยการแสดงความไม่เข้าใจว่า ในเมื่อเงินของวัดโดยปกติมีจำนวนไม่มากนัก แต่เหตุใดจึงมีการโอนเงินออกไปเป็นหลักร้อยล้านบาทได้ ซึ่งตนเชื่อว่าเงินจำนวนดังกล่าวน่าจะเป็นเงินส่วนตัวของอดีตเจ้าอาวาสเอง เพราะหากเป็นเงินของวัดจริง ตนในฐานะไวยาวัจกรจะต้องรับรู้ และตนก็ไม่ทราบข้อมูลว่าอดีตเจ้าอาวาสได้มีการไปยืมเงินจากเจ้าอาวาสวัดอื่นมาด้วย

ต่อคำถามที่ว่าในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ไม่ได้มีข้อสงสัยหรือผิดสังเกตบ้างเลยหรือ นายชาตรี ย้ำว่า เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องส่วนตัวของอดีตเจ้าอาวาส และขอยืนยันอีกครั้งว่า ในส่วนของ 5 บัญชีที่ตนดูแลนั้น ไม่มีข้อบ่งชี้ถึงความผิดปกติใดๆ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *