เปิดเบื้องลึกปฎิบัติการลับวัดไร่ขิง ผู้กองธร เผยอดีตเจ้าอาวาส ‘ติดหญิง’ ไม่ใช่บาคาร่า พร้อมแฉเส้นทางเงินวัด
จากรายการโหนกระแส สู่การเปิดเผยหมดเปลือกของทีมสืบสวน ปมร้อนอดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง ที่พบเส้นทางการเงินนับร้อยล้านบาท ผู้กองธร เจ้าของภารกิจแฝงตัวในวัด พร้อมผู้การฯ กองปราบฯ ร่วมคลายปมซับซ้อนที่สังคมให้ความสนใจ
วันที่ 20 พฤษภาคม 2568 รายการ “โหนกระแส” ที่ดำเนินรายการโดย คุณหนุ่ม กรรชัย ได้เชิญ พ.ต.อ.ภัทราวุธ อ่อนช่วย ผู้กำกับการ 5 กองบังคับการปราบปราม (ผกก.5 บก.ป.) และ ร.ต.อ.นิติธร ประชันกาญจนา หรือ “ผู้กองธร” ตำรวจผู้รับภารกิจสำคัญในการแฝงตัวเข้าสืบสวนภายในวัดไร่ขิง เพื่อพูดคุยและเปิดเผยเบื้องลึกของการคลี่คลายคดีอดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิงที่กำลังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อยู่ในขณะนี้
พ.ต.อ.ภัทราวุธ อ่อนช่วย ผกก.5 บก.ป. ได้กล่าวถึงจุดเริ่มต้นของการสืบสวนว่า มาจากหนังสือร้องเรียนที่ส่งถึงผู้บังคับการปราบปราม ระบุพฤติกรรมของอดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิงว่า มีการยืมเงินจากวัดต่างๆ ตั้งแต่หลักหมื่นจนถึงหลัก 10 ล้านบาท รวมเป็นเงินสูงถึง 300 ล้านบาท โดยอ้างว่าจะนำไปใช้ในกิจของวัดไร่ขิง นอกจากนี้ยังมีการยืมเงินจากนักการเมืองที่คุ้นเคยด้วยเหตุผลเดียวกัน ที่น่าตกใจคือ พบการนำเงินค่าจัดงานต่างๆ ของวัดเข้าบัญชีส่วนตัว และไม่ได้นำไปใช้ในวัดกว่า 100 ล้านบาท ก่อนจะพบหลักฐานการโอนเงินจำนวนดังกล่าวต่อไปยังบุคคลอื่น
เมื่อได้รับเรื่องร้องเรียน พ.ต.อ.ภัทราวุธ ได้รายงานไปยังผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และได้รับคำสั่งให้ดำเนินการสืบสวนในทางลับ เนื่องจากเป็นวัดใหญ่ที่มีญาติโยมและประชาชนให้ความเคารพนับถือจำนวนมาก จึงได้จัดทีมสืบสวนพิเศษเพียง 6 นายที่รู้เรื่องนี้กันแค่ในวงจำกัด เริ่มต้นจากการหาพยานหลักฐานจากโซเชียลมีเดีย ควบคู่ไปกับการตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงินจากบัญชีต่างๆ และหากต้องการข้อมูลเชิงลึกภายในวัด ทีมงานจะมอบหมายภารกิจนี้ให้กับ “ผู้กองธร” ร.ต.อ.นิติธร ประชันกาญจนา ซึ่งมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการเข้าพื้นที่สืบสวนโดยการแฝงตัวเป็นอย่างดี
ด้าน ผู้กองธร ร.ต.อ.นิติธร ประชันกาญจนา ได้เปิดใจถึงภารกิจสุดหินในครั้งนี้ว่า รู้สึกหนักใจในช่วงแรก เนื่องจากเป็นวัดใหญ่และมีชื่อเสียง อีกทั้งยังมีกระแสว่ามีกลุ่มผู้มีอิทธิพลอยู่มาก แต่ด้วยประสบการณ์ด้านการปลอมตัวและปรับเปลี่ยนสถานการณ์ได้ทุกรูปแบบ จึงเริ่มจากการเข้าไปสังเกตการณ์ในวัดไร่ขิง โดยสวมชุดธรรมดาเหมือนนักท่องเที่ยวทั่วไป จอดรถยนต์และเฝ้าสังเกตการณ์พฤติกรรมของผู้คนในวัด รวมถึงญาติโยมที่มาทำบุญ เป็นเวลานานถึง 24 ชั่วโมงติดต่อกัน จะเคลื่อนรถออกไปก็ต่อเมื่อต้องเข้าห้องน้ำเท่านั้น
ผู้กองธรเล่าต่อว่า หลังจากทำความเข้าใจพฤติกรรมของผู้คนและกลุ่มคนที่มาทำบุญในวัดแล้ว ในวันแรกที่เข้าไปปฏิบัติภารกิจ คือการทำบุญและซื้อดอกไม้ธูปเทียน โดยได้ตั้งจิตอธิษฐานขอพรจากหลวงพ่อวัดไร่ขิง ขอให้ภารกิจ “ปัดกวาดสิ่งสกปรกในวัดให้สะอาด” จงสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี เมื่อทำบุญเสร็จจึงเริ่มรวบรวมข้อมูลบัญชีต่างๆ ของวัดให้ได้มากที่สุด ทั้งจากการเช่าวัตถุบูชา และการสังเกตจำนวนตู้บริจาค เพื่อให้พนักงานสอบสวนสามารถรวมรวมข้อมูลทางการเงินได้อย่างครบถ้วน
“เราปลอมตัวทุกอย่างจริงๆ ครับ เริ่มตั้งแต่เป็นนักท่องเที่ยวมาทำบุญ มีงานสวดภาณยักษ์เราก็ไป มีกิจกรรมลอยกระทงก็ร่วมงาน หรือแม้แต่งานที่แม่ผ่องศรีจัด เราก็เข้าไปช่วยจัดโต๊ะจัดเก้าอี้ รวมถึงงานประจำปีของวัด เราก็แฝงตัวเข้าไปร่วมกิจกรรมต่างๆ ด้วย” ผู้กองธร กล่าวเสริมถึงเทคนิคการแฝงตัว
พ.ต.อ.ภัทราวุธ ได้กล่าวถึงการสืบสวนที่ต่อยอดจากข้อมูลเบื้องต้น โดยเริ่มสืบสวนไปถึง น.ส.อรัญญาวรรณ หรือ “สาวเก็น” ซึ่งมีข้อมูลว่ามีความสนิทสนมกับอดีตเจ้าอาวาส พบว่า น.ส.อรัญญาวรรณ มีข้อมูลเกี่ยวข้องกับเว็บพนัน และเคยถูกจับจนต้องติดกำไลอีเอ็ม ทางทีมสืบสวนจึงได้ติดต่อกับ น.ส.อรัญญาวรรณ ผ่านข้อมูลจากกำไลอีเอ็ม เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการขยายผลการสืบสวนต่อไป จากนั้น การสืบสวนก็มาถึงอดีตพระมหาเอกพจน์ พระลูกวัด ที่มีหน้าที่คอยนำเงินจากอดีตเจ้าอาวาสไปโอนให้กับ น.ส.อรัญญาวรรณ หรือ “เก็น” ซึ่งเงินที่โอนไปให้นั้น พบว่าเป็นเงินทำบุญและเงินของวัด
พ.ต.อ.ภัทราวุธ ยืนยันว่า ถึงตอนนี้ยังไม่พบหลักฐานที่ชี้ชัดว่า อดีตเจ้าอาวาส หรือ “ทิดแย้ม” ติดการพนัน หรือเล่นการพนันด้วยตนเอง แต่พบหลักฐานการโอนเงินของวัดจำนวนมากไปให้กับ น.ส.อรัญญาวรรณ หรือ เก็น และพบว่าเงินจำนวนดังกล่าวถูกนำไปใช้ในการเล่นพนัน
เบื้องต้นพบว่า น.ส.อรัญญาวรรณ เคยอาศัยอยู่บริเวณใกล้เคียงวัดและเคยเรียนที่โรงเรียนวัดไร่ขิง เคยมาหาเจ้าอาวาสในช่วงก่อนโควิด และบอกว่ามีปัญหาชีวิตขอความช่วยเหลือ จากนั้นในช่วงโควิด น.ส.อรัญญาวรรณ ได้มายืมเงินจากอดีตเจ้าอาวาส และมีการแลกไลน์เพื่อพูดคุยกัน โดยครั้งแรกที่ยืม เป็นเงิน 5-6 หมื่นบาท ซึ่งเป็นเงินจากมูลนิธิ ต่อมามีการวิดีโอคอลพูดคุยกันหลายครั้ง และมีอยู่ครั้งหนึ่งที่ น.ส.อรัญญาวรรณ อยู่ในห้องน้ำ ก่อนที่เธอจะอัดคลิปวิดีโอคอลดังกล่าวไว้ด้วย จากนั้น น.ส.อรัญญาวรรณ ได้ออกอุบายว่าโทรศัพท์มือถือถูกเจ้าหนี้ยึดไป และมาบอกอดีตเจ้าอาวาสว่ากลัวคลิปวิดีโอจะหลุดออกไป พร้อมขอให้ช่วยเหลือโอนเงินไปใช้หนี้ให้เจ้าหนี้ เพื่อที่จะได้นำโทรศัพท์มือถือกลับคืนมาและป้องกันคลิปหลุด ซึ่งถือเป็นปมปัญหาที่นำไปสู่การถ่ายโอนเงินวัดจำนวนมหาศาลในเวลาต่อมา