มาตรการภาษีตอบโต้ระหว่างสองมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาและจีนกำลังสร้างผลกระทบเป็นวงกว้างทั่วโลก หลังทั้งสองฝ่ายต่างเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าของกันและกันอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดสหรัฐฯ ได้ตอบโต้จีนด้วยการเพิ่มภาษีสินค้านำเข้าสูงถึง 125% จากเดิมที่เพิ่มไปแล้ว 30% ขณะที่จีนก็เพิ่มภาษีสินค้าจากสหรัฐฯ 84% สถานการณ์นี้ถูกมองว่าเป็น “สงครามการค้า” ที่ไม่มีทีท่าว่าจะยุติในเร็ววัน

โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ เคยกล่าวไว้ว่าทุกประเทศจะต้องยอมตามเงื่อนไขของสหรัฐฯ ในที่สุด ซึ่งดูเหมือนว่าคำพูดนี้กำลังเป็นจริงในปัจจุบัน โดยหลายประเทศที่ไม่ได้ตอบโต้มาตรการภาษีของสหรัฐฯ ต้องยอมเจรจาต่อรองและปฏิบัติตามข้อเรียกร้องในที่สุด

ผลกระทบจากสงครามการค้าครั้งนี้ส่งผลถึงประเทศไทยด้วย โดยเฉพาะหากต้องนำเข้าสินค้าเกษตรและปศุสัตว์จากสหรัฐฯ ในราคาที่สูงขึ้น ซึ่งจะสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้ประกอบการและเกษตรกรไทยโดยตรง

นอกจากนี้ ยังมีประเด็นความไม่ชอบมาพากลในหลายเรื่องภายในประเทศ เช่น การถล่มของตึก สตง. ที่ยังไม่มีคำตอบชัดเจน และการเลื่อนพิจารณากฎหมายสถานบันเทิงครบวงจรออกไป ซึ่งส่งผลต่อความเชื่อมั่นในรัฐบาลและภาวะผู้นำ

อีกประเด็นร้อนคือกรณีพิพาทระหว่างเนสท์เล่กับบริษัทควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส (QCP) หลังศาลอนุญาโตตุลาการสากลมีคำสั่งยกเลิกสัญญาการผลิตเนสกาแฟในประเทศไทย โดยจะมีผลสมบูรณ์ในวันที่ 31 ธ.ค. 2567 ล่าสุดศาลแพ่งมีนบุรีมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวห้ามเนสท์เล่ผลิตหรือจำหน่ายผลิตภัณฑ์เนสกาแฟในประเทศไทย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการรายย่อยและผู้บริโภคในวงกว้าง