ผู้ใหญ่บ้านฉาว! เมียหลวงแฉคบชู้ 3 คน ทุบตี ขู่ปืน ใช้เงินเมียสร้างบ้านให้เมียน้อย ร้องผู้ว่าฯ อุบลฯ สอบวินัย
อุบลราชธานี – วันที่ 21 เม.ย. 2568: นางเอ (นามสมมติ) วัย 55 ปี ชาวอำเภอกุดข้าวปุ้น จังหวัดอุบลราชธานี พร้อมด้วย นายกฤษฎา โลหิตดี หรือ ทนายโนบิ และทีมงานทนายโนบิช่วยด้วย ได้เดินทางเข้ายื่นหนังสือขอความเป็นธรรมต่อผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี ผ่านศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดอุบลราชธานี โดยมี นายธนรัตน์ สุภาพันธ์ หัวหน้าสำนักงานจังหวัดฯ และผู้อำนวยการกลุ่มงานศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดอุบลราชธานี เป็นผู้รับเรื่องร้องเรียน
นางเอ เปิดเผยถึงความทุกข์ใจว่า ตนอยู่กินกับ นายสี (นามสมมติ) ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านคนหนึ่งในอำเภอกุดข้าวปุ้น มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 และได้จดทะเบียนสมรสกันอย่างถูกต้องตามกฎหมายเมื่อปี พ.ศ. 2566 ชีวิตคู่ดำเนินมาเรื่อยๆ จนกระทั่งในช่วงปี พ.ศ. 2567 สามีเริ่มมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป มักจะกลับเข้าบ้านดึกดื่น โดยอ้างว่าเป็นงานราชการที่ต้องทำล่วงเวลา
ปัญหาความขัดแย้งเริ่มรุนแรงขึ้นในเดือนตุลาคม ปี พ.ศ. 2567 เมื่อนางเอพบหลักฐานว่า นายสี สามี ได้แอบคบชู้กับหญิงอื่น เมื่อเธอพยายามสอบถามถึงเรื่องดังกล่าว แทนที่จะได้รับคำชี้แจง นางเอกลับถูก นายสี ทำร้ายร่างกายด้วยการตบตี และที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือ เขาได้ใช้ปืนพกประจำกายข่มขู่ ไม่ให้มายุ่งเกี่ยวกับการมีชู้ของเขา นางเอระบุว่า หลังจากนั้น เมื่อใดก็ตามที่มีปากเสียงกันเรื่องชู้สาวหรือปัญหาอื่นๆ เธอก็จะถูก นายสี ทำร้ายร่างกายเป็นประจำ
สาเหตุสำคัญที่ทำให้นางเอทนไม่ได้ นอกจากการถูกทำร้ายร่างกายและข่มขู่แล้ว คือการที่ นายสี ได้นำเงินที่ได้จากการขายที่ดินและขายบ้านซึ่งเป็นสินส่วนตัวของนางเอ ไปใช้ในการก่อสร้างบ้านให้กับหญิงที่ตนคบชู้ด้วย พฤติกรรมนี้สร้างความเจ็บปวดและไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง
เรื่องราวไม่ได้หยุดอยู่แค่ชู้เพียงคนเดียว นางเอยังพบในภายหลังว่า นายสี ไม่ได้มีชู้แค่คนแรก แต่มีชู้เป็นผู้หญิงอื่นอีกถึง 2 คน รวมเป็น 3 คน การนอกใจซ้ำซ้อน ประกอบกับการถูกทำร้ายร่างกายและข่มขู่ด้วยอาวุธปืนสั้นประจำกายอยู่บ่อยครั้ง ทำให้นางเอตัดสินใจที่จะไม่ทนอีกต่อไป จึงได้ติดต่อขอความช่วยเหลือจากทนายโนบิ เพื่อพามายื่นเรื่องร้องเรียนต่อผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี
สิ่งที่นางเอต้องการคือ ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี ได้โปรดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพฤติกรรมของ นายสี ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้าน และพิจารณาเอาผิดทางวินัยตามระเบียบของทางราชการ ซึ่งการกระทำดังกล่าวอาจมีโทษรุนแรงถึงขั้นให้ออกหรือไล่ออกจากราชการได้ นอกจากนี้ นางเอยังแสดงความประสงค์ชัดเจนว่า ต้องการที่จะขอหย่าขาดจาก นายสี เพื่อยุติปัญหาทั้งหมด
ทางด้าน นายธนรัตน์ สุภาพันธ์ หัวหน้าสำนักงานจังหวัดอุบลราชธานี และผู้อำนวยการกลุ่มงานศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดอุบลราชธานี ได้รับเรื่องร้องเรียนจากนางเอไว้เรียบร้อยแล้ว และได้แจ้งถึงขั้นตอนการดำเนินการในเบื้องต้นว่าจะประสานไปยังนายอำเภอกุดข้าวปุ้น เพื่อเรียกตัวผู้ใหญ่บ้านรายนี้เข้ามาพูดคุยและเจรจาเพื่อหาทางออกในเรื่องของการแยกกันอยู่ ส่วนในประเด็นของการเอาผิดทางวินัยนั้น ทางศูนย์ดำรงธรรมฯ จะตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อสืบข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าว หากพบว่าเรื่องมีมูลความจริง ก็จะดำเนินการตั้งคณะกรรมการสอบสวนเพื่อพิจารณาลงโทษทางวินัยต่อไป ซึ่งโทษสูงสุดคือการให้ออก หรือไล่ออกจากราชการตามที่กฎหมายกำหนด.