ทรู สร้างประวัติศาสตร์! พลิกมีกำไรสุทธิครั้งแรก 1.6 พันล้านบาท หลังควบรวมดีแทค ไตรมาส 1/2568
กรุงเทพฯ ประเทศไทย – วันที่ 9 พฤษภาคม 2568 บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) สร้างผลงานโดดเด่นในไตรมาสแรกของปี 2568 ด้วยการรายงานกำไรสุทธิหลังหักภาษีเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่การควบรวมกิจการกับบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค โดยมีกำไรสุทธิสูงถึง 1.6 พันล้านบาท ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่สะท้อนความสำเร็จในการผนึกกำลังและขับเคลื่อนประสิทธิภาพธุรกิจ
นายซิกเว่ เบรกเก้ ประธานคณะผู้บริหารกลุ่ม บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวเปิดเผยถึงความสำเร็จครั้งนี้ว่า การผนวกรวมทรูและดีแทคเข้าด้วยกันเป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ในการรวมสองผู้นำอุตสาหกรรมโทรคมนาคมให้เป็นหนึ่งเดียว ภายใต้เป้าหมายที่ชัดเจนในการยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงาน การรักษาวินัยทางการเงิน และการสร้างคุณค่าและผลประโยชน์ร่วมกัน (Synergy)
“เราได้ปรับปรุงเครือข่ายให้ทันสมัย ผสานเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อยกระดับประสบการณ์ลูกค้าในทุกช่องทาง และที่สำคัญคือการสร้างทีมที่เป็นหนึ่งเดียวกันด้วยเป้าหมายร่วม ที่พร้อมขับเคลื่อนงานให้รวดเร็วและสร้างความร่วมมือที่แข็งแกร่ง” นายซิกเว่ กล่าว และเสริมว่า ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ความสำเร็จที่ทำให้ธุรกิจสามารถพลิกฟื้นกลับมามีกำไรได้ในไตรมาสแรกของปี 2568 นี้
แม้ว่าจำนวนผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่จะลดลง 638,000 เลขหมาย หรือ 1.3% จากไตรมาสก่อนหน้า มาอยู่ที่ 48.8 ล้านเลขหมาย ซึ่งเป็นผลจากกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการเพิ่มผู้ใช้บริการที่มีคุณภาพในช่วงปี 2567 โดย ณ สิ้นไตรมาส 1/2568 ผู้ใช้บริการระบบรายเดือนกลับเพิ่มขึ้น 0.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน อยู่ที่ 15.3 ล้านเลขหมาย ขณะที่ผู้ใช้บริการระบบเติมเงินลดลง 2.0% มีจำนวน 33.5 ล้านเลขหมาย ซึ่งได้รับผลกระทบจากปัจจัยตามฤดูกาล ในขณะที่ผู้ใช้บริการออนไลน์เพิ่มขึ้น 0.7% อยู่ที่ 3.8 ล้านราย และผู้ใช้บริการ 5G เพิ่มขึ้นเป็น 14.2 ล้านเลขหมาย
ด้านนายนกุล เซห์กัล หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ยืนยันว่า บริษัทฯ บรรลุเป้าหมายสำคัญในไตรมาสแรกของปี 2568 ด้วยการรายงานกำไรสุทธิเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่การควบรวมกิจการ โดยมีกำไรสุทธิหลังหักภาษี 1.6 พันล้านบาท ตามที่ได้ให้คำมั่นไว้กับผู้ถือหุ้น
บริษัทยังคงรักษาแนวโน้มการทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง โดย EBITDA (กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย) ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในไตรมาสนี้ แม้รายได้รวมจะได้รับผลกระทบจากปัจจัยตามฤดูกาลก็ตาม
ในไตรมาสแรก รายได้จากการให้บริการ (ไม่รวมค่าบริการเชื่อมต่อโครงข่าย หรือ IC) ปรับตัวดีขึ้น 0.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา โดยได้แรงหนุนจากการเติบโตของรายได้ในกลุ่มธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่และธุรกิจออนไลน์ ขณะที่รายได้กลุ่มธุรกิจโทรทัศน์บอกรับสมาชิกลดลง ทั้งนี้ รายได้จากการให้บริการในไตรมาสนี้ได้รับผลกระทบจากปัจจัยตามฤดูกาลและรายได้จากการโรมมิ่งในประเทศที่ลดลง แต่หากไม่รวมผลกระทบดังกล่าว รายได้จากการให้บริการจะปรับตัวดีขึ้น 0.3% เมื่อเทียบกับปีก่อน
สำหรับรายได้รวมในไตรมาส 1/2568 ทรู คอร์ปอเรชั่น รายงานการเติบโต 0.2% เมื่อเทียบกับปีก่อน การปรับตัวดีขึ้นของรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์ถูกหักล้างบางส่วนจากรายได้ค่าเช่าเครือข่ายที่ลดลง ซึ่งเป็นผลจากการโอนย้ายผู้ใช้บริการออกจากคลื่นความถี่ 850 MHz ที่จะหมดอายุสัมปทานในเดือนสิงหาคม 2568
ในส่วนของค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (ไม่รวมค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย หรือ D&A) ลดลง 5.7% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยต้นทุนเครือข่ายลดลง 4.8% มีปัจจัยหลักจากการรับรู้ผลประโยชน์จากการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัยและการจัดซื้อจัดจ้าง ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) ลดลงอย่างน่าทึ่งถึง 16.9% เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากการประหยัดต้นทุนจากการปรับโครงสร้างองค์กร การริเริ่มกลยุทธ์การตลาดใหม่ๆ และประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ที่ดีขึ้น ด้วยการบริหารจัดการที่มุ่งเน้นความสามารถในการทำกำไรอย่างยั่งยืน ทรู คอร์ปอเรชั่น ยังคงควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง
ทรู คอร์ปอเรชั่น บันทึกการเพิ่มขึ้นของ EBITDA รวม 5.8 พันล้านบาท นับตั้งแต่การควบรวมกิจการ แสดงถึงการปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในไตรมาส 1/2568 EBITDA เพิ่มขึ้น 7.1% เมื่อเทียบกับปีก่อน และ 0.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน การเติบโตนี้มาจากการรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวมและวินัยทางการเงิน อัตราส่วน EBITDA ต่อรายได้จากการให้บริการปรับตัวดีขึ้น 4.0 จุดเปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับปีก่อน มาอยู่ที่ 61.2% ในไตรมาสแรก
กำไรสุทธิหลังหักภาษีที่ 1.6 พันล้านบาทในไตรมาส 1/2568 ถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ควบรวมกิจการ อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ มีการบันทึกผลกระทบเชิงลบที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว (one-time costs) จำนวน 2.9 พันล้านบาท ที่เกี่ยวข้องกับการด้อยค่าสินทรัพย์จากการดำเนินการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัย เมื่อปรับปรุงผลกระทบจากรายการครั้งเดียวและผลประโยชน์ทางภาษีในไตรมาสนี้ (จำนวน 160 ล้านบาท) กำไรสุทธิหลังหักภาษีที่ปรับปรุงแล้วจะมีจำนวนสูงถึง 4.3 พันล้านบาท ซึ่งมีปัจจัยหลักมาจากการปรับตัวดีขึ้นของ EBITDA และการลดลงของค่าเสื่อมราคา ค่าตัดจำหน่าย และต้นทุนทางการเงิน
ค่าใช้จ่ายด้านการลงทุน (CAPEX) สำหรับไตรมาส 1/2568 อยู่ที่ 5.5 พันล้านบาท โดยเกือบครึ่งหนึ่งเป็นต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการบูรณาการและพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัย