“ทรีนีตี้” คาด SET เดือน พ.ค. แกว่ง 1,140-1,250 จุด ชี้ 7 ปัจจัยต้องจับตา พร้อมเปิดโผ 8 หุ้นเด่นน่าเก็บ!

“ทรีนีตี้” คาด SET เดือน พ.ค. แกว่ง 1,140-1,250 จุด ชี้ 7 ปัจจัยต้องจับตา พร้อมเปิดโผ 8 หุ้นเด่นน่าเก็บ!

กรุงเทพฯ – บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด โดยนายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ ได้เปิดเผยถึงมุมมองตลาดหุ้นไทยประจำเดือนพฤษภาคม 2568 โดยประเมินกรอบการแกว่งตัวของดัชนี SET Index ไว้ที่ระดับ 1,140-1,250 จุด ท่ามกลางปัจจัยทั้งบวกและลบที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

นายณัฐชาต มองว่า การที่ดัชนี SET ได้ปรับตัวรีบาวด์ขึ้นมาจากจุดต่ำสุดก่อนหน้านี้แล้วกว่า 150 จุด อาจส่งผลให้ตลาดมีแนวโน้มพักตัวในระยะสั้นได้บ้าง ประกอบกับภาพของดัชนีได้สะท้อนปัจจัยเชิงบวกจากการคาดการณ์การปรับลดอัตราดอกเบี้ยไปในระดับหนึ่งแล้ว

ปัจจัยเสี่ยงและแรงกดดัน

ทรีนีตี้ประเมินว่าภาพรวมเศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยงด้านลบ หรือ Downside risk ที่เปิดกว้างมากขึ้น จากความไม่แน่นอนของสถานการณ์สงครามการค้า และแนวโน้มอุปสงค์ภายในประเทศที่ยังคงเปราะบาง ปัจจัยเหล่านี้มีโอกาสส่งผลกดดันต่อเนื่องไปยังการปรับลดประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ซึ่งยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ผลกระทบเชิงลบจากการปรับลดประมาณการกำไรนี้ อาจบดบังอานิสงส์เชิงบวกจากการลดดอกเบี้ยที่ส่งผลผ่านกระบวนการขยายตัวของราคาหุ้นต่อกำไรต่อหุ้น หรือ PE Expansion ได้

ปัจจัยหนุนและกลยุทธ์การลงทุน

อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยยังมีปัจจัยที่ช่วยพยุง Downside risk ได้บ้าง ได้แก่ ระดับ Valuation หรือการประเมินมูลค่าหุ้น ที่ยังไม่ได้กลับเข้าสู่กรณีฐาน ความสัมพันธ์ของตลาดหุ้นไทยกับตลาดหุ้นโลกที่อยู่ในระดับต่ำ รวมถึงปัจจัยหนุนด้านสภาพคล่องที่คาดว่าจะเข้ามาจากการเปิดขายกองทุน Thai ESGX ซึ่งจะเริ่มต้นตั้งแต่เดือนนี้ โดยทรีนีตี้ประเมินว่ากองทุนนี้อาจช่วยสร้างเม็ดเงินใหม่ให้ไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยได้ราว 1.5-2 หมื่นล้านบาท

ในเชิงกลยุทธ์ ทรีนีตี้ยังคงแนะนำกลยุทธ์ Selective play หรือการเลือกลงทุนรายตัว โดยให้น้ำหนักกับการเลือกหุ้นกลุ่มที่ยังคงเน้นความปลอดภัยเป็นสำคัญ แบ่งเป็น 4 กลุ่ม Top pick ดังนี้:

  • กลุ่ม Deep value (หุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน): ได้แก่ SCC, TOP
  • กลุ่ม Defensive (หุ้นที่ขึ้นลงตามตลาดไม่มาก): ได้แก่ BDMS, CPALL
  • กลุ่มที่คาดว่าจะถูกคัดเลือกเข้าสู่ดัชนี SET50 รอบถัดไป: ได้แก่ TCAP, BCP
  • กลุ่มหุ้นปลอดภัยปันผลสูง: ได้แก่ ADVANC, 3BBIF

สำหรับกรอบแนวต้านแรกของ SET Index เดือนพฤษภาคม ประเมินไว้ที่ 1,220 จุด และแนวต้านสำคัญที่ 1,250 จุด ซึ่งตรงกับกรณีฐานตามวิธี PE Model ที่ Forward PE 13.6x (อิง EPS ปี 2568 ที่ 92 บาท) ส่วนแนวรับแรกอยู่ที่บริเวณ 1,170 จุด และแนวรับสำคัญที่ 1,140 จุด

7 ปัจจัยสำคัญที่ต้องจับตาในเดือนพฤษภาคม

ทรีนีตี้ได้ระบุถึง 7 ปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนควรติดตามอย่างใกล้ชิดในเดือนนี้ ได้แก่:

  1. พัฒนาการของการเจรจาการค้าระหว่าง สหรัฐฯ จีน และประเทศต่างๆ
  2. การประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) วันที่ 6-7 พ.ค. คาดคงดอกเบี้ย แต่ต้องจับตาความเห็นของนายเจอโรม พาวเวลล์ ต่อผลกระทบสงครามการค้าต่อเงินเฟ้อและเศรษฐกิจสหรัฐฯ
  3. การประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) วันที่ 8 พ.ค. ตลาดคาดอาจมีมติลดดอกเบี้ยนโยบายลงสู่ 4.25%
  4. การประกาศตัวเลข GDP ไตรมาส 1/68 ของไทย วันที่ 19 พ.ค.
  5. การเปิดขายกองทุน Thai ESGX ที่คาดว่าจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องและเม็ดเงินใหม่
  6. การประกาศผลการปรับตะกร้าสมาชิกของดัชนี MSCI รอบใหม่ เช้าตรู่วันที่ 14 พ.ค. (ตามเวลาประเทศไทย)
  7. เทศกาลประกาศผลประกอบการไตรมาส 1/68 ของบริษัทจดทะเบียน

นักลงทุนจึงควรติดตามปัจจัยเหล่านี้อย่างใกล้ชิด เพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุนในเดือนพฤษภาคมนี้

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *