สรท.มอง สงครามการค้า สหรัฐ-จีน แค่พักยก 90 วัน แนะอาเซียนรวมพลังก่อนเจอสหรัฐฯ
สรท.มอง สงครามการค้า สหรัฐ-จีน แค่พักยก 90 วัน แนะอาเซียนรวมพลังก่อนเจอสหรัฐฯ
กรุงเทพฯ – นายธนากร เกษตรสุวรรณ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยถึงกรณีที่สหรัฐอเมริกาและจีนประกาศลดภาษีระหว่างกันเบื้องต้น พร้อมทั้งขยายเวลาการเจรจาออกไปอีก 90 วัน ว่า สรท.ประเมินว่าการดำเนินการดังกล่าวเป็นเพียง ‘การซื้อเวลา’ ของทั้งสองมหาอำนาจมากกว่า
นายธนากร มองว่า เหตุผลที่สหรัฐฯ และจีนยังไม่สามารถเผชิญหน้าหรือ ‘ทุบ’ กันได้อย่างจริงจังในขณะนี้ ทำให้การพักรบชั่วคราวเป็นสิ่งที่จำเป็น เพื่อให้แต่ละฝ่ายได้มีเวลาทบทวนและประเมินผลกระทบที่จะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ ก่อนที่จะตัดสินใจเดินหน้าต่อไปว่าจะดำเนินการอย่างไร
“ระหว่างช่วง 90 วันนี้ แม้จะมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดเหตุการณ์เพิ่มเติม แต่คาดว่าสถานการณ์โดยรวมน่าจะผ่อนคลายลงกว่าช่วงที่ผ่านมา ไม่น่าจะมีการตอบโต้ที่รุนแรงเหมือนที่เคยเห็น เพราะหากทั้งสองฝ่ายพร้อมจะเล่นกันแรง คงตัดสินใจไปนานแล้ว การที่ต่างฝ่ายต่างไม่เลือกที่จะปะทะกันอย่างเต็มที่ แสดงให้เห็นว่ายังต้องการรักษาสถานะของประเทศตนไว้ จึงต้องใช้เวลาในการทบทวนและวางแผนใหม่” นายธนากร กล่าว
สำหรับท่าทีของประเทศไทยและประเทศอื่น ๆ ในกลุ่มอาเซียน นายธนากร กล่าวว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเร่งเจรจาและกำหนดท่าทีร่วมกัน เนื่องจากประเทศในกลุ่มอาเซียนส่วนใหญ่ รวมถึงไทย เป็นกลุ่มประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ การที่ไทยจะไปเจรจาต่อรองกับสหรัฐฯ เพียงลำพังอาจไม่มีความพร้อมและมีอำนาจต่อรองไม่มากนัก
สรท.จึงเสนอแนะให้ประเทศสมาชิกอาเซียน โดยเฉพาะประเทศที่มีสินค้าส่งออกไปยังสหรัฐฯ คล้ายคลึงกับไทย เช่น เวียดนาม มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ควรหารือและตกลงร่วมกันก่อน โดยอาจพิจารณาวางกรอบอัตราแลกเปลี่ยนในระดับเดียวกัน เพื่อให้ทุกประเทศสามารถตั้งรับและลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้ การมีท่าทีร่วมกันจะช่วยสร้างความสมดุลและทำให้การค้าขายดำเนินต่อไปได้ก่อน
นายธนากร ทิ้งท้ายว่า หากอาเซียนสามารถตกลงร่วมกันได้ จะเป็นการหยุดสถานการณ์ชั่วคราวเพื่อให้ทุกฝ่ายกลับสู่จุดสมดุลเดิม ก่อนที่จะมีการหารือในประเด็นที่ลึกซึ้งต่อไป และเสนอแนะให้ไทยพิจารณาการทำข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) กับสหรัฐฯ ซึ่งเป็นผู้ซื้อสินค้าหลักจากไทย มากกว่าที่จะมุ่งเน้นการทำ FTA กับประเทศที่เป็นผู้ส่งออกรายใหญ่อย่างจีนเพียงอย่างเดียว ซึ่งปัจจุบันจีนได้เปรียบดุลการค้ากับไทยและอาเซียนอย่างมหาศาล การปรับเปลี่ยนแนวทางนี้อาจเป็นสิ่งจำเป็นในอนาคต