ทรนง ศรีเชื้อ คัมแบ็ก! ผุดโปรเจ็กต์ภาพยนตร์ไตรภาค ‘2122 ARMAGEDDON WAR’ ทุนสร้าง 900 ล้าน ปรับบท 52 ปี
ทรนง ศรีเชื้อ คัมแบ็ก! ผุดโปรเจ็กต์ภาพยนตร์ไตรภาค ‘2122 ARMAGEDDON WAR’ ทุนสร้าง 900 ล้าน ปรับบท 52 ปี
วงการภาพยนตร์ไทยกลับมาคึกคักอีกครั้ง เมื่อผู้กำกับมากฝีมือ ‘ทรนง ศรีเชื้อ’ ที่ห่างหายจากจอเงินไปนานถึง 16 ปี กลับมาพร้อมกับโปรเจ็กต์ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ระดับไตรภาค ภายใต้ชื่อ “2122 ARMAGEDDON WAR (กูนี่แหละอัจฉริยะ)” ซึ่งเจ้าตัวเผยว่าเป็นการพัฒนาและปรับปรุงบทมาอย่างยาวนานถึง 52 ปี
ในการแถลงข่าวเปิดตัวโปรเจ็กต์ภาพยนตร์เรื่องใหม่นี้ ทรนง ศรีเชื้อ ได้ให้สัมภาษณ์ถึงการกลับมาและที่มาที่ไปของภาพยนตร์ไตรภาคนี้ว่า รู้สึกดีใจที่ได้พบสื่อมวลชนอีกครั้งหลังจากห่างหายไปถึง 16 ปีเต็ม นับตั้งแต่ประสบความล้มเหลวในภาพยนตร์เรื่อง “2022 สึนามิ” ซึ่งทำให้เขาต้องสูญเสียเงินไปถึง 160 ล้านบาท
สำหรับ “2122 ARMAGEDDON WAR” เป็นภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องราวในอนาคตอีก 100 ปีข้างหน้า โดยใช้เหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 3 มาเป็นแกนหลัก ซึ่งเป็นสงครามล้างโลกที่ทำให้ประชากรโลกเหลือเพียงประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ ประเทศมหาอำนาจอย่างอเมริกา รัสเซีย จีน และอีกหลายประเทศไม่มีอยู่บนแผนที่โลกอีกต่อไป มีเพียงโซนเอเชียบางส่วนที่พอจะอยู่อาศัยได้ โดยเฉพาะประเทศไทยที่ในอีก 100 ปีข้างหน้าจะกลายเป็นมหาอำนาจด้านอาหาร การแพทย์ และการท่องเที่ยว ยังมีประชากรหลงเหลืออยู่มากกว่าหลายประเทศ และมีการสร้างเมืองใต้ดินสำหรับอยู่อาศัยที่เขาใหญ่
ชนวนสงครามเกิดจากอัจฉริยะคนหนึ่งในปัจจุบัน (เปรียบเสมือน อีลอน มัสก์ อีกคนหนึ่ง) ที่คิดค้นจรวดและวางแผนการเดินทางไปดาวอังคาร เขาฝังชิปในสมองคน ใช้ความร่ำรวยยึดครองอำนาจและกลายเป็นประธานาธิบดี เมื่อมีอำนาจบนโลกแล้ว เขาก็เร่งสร้างอาณานิคมบนดาวอังคาร และในภาพยนตร์เรื่องนี้ อีก 100 ปีข้างหน้า เขากลับมายึดครองโลกด้วยกองทัพหุ่นยนต์ ตัวเขาเองกลายเป็นมนุษย์อมตะ ร่างกายเป็น AI เหลือเพียงส่วนหัวที่ยังคงเป็นมนุษย์
ท่ามกลางหายนะสงคราม พลังงานนิวเคลียร์ที่ทำให้ระบบสาธารณูปโภคพังทลาย น้ำดื่มไม่ได้ มนุษย์ที่เหลืออยู่ต่างหวังให้มีคนมาช่วยเหลือ และนั่นคือ ‘โอม ลิตเติ้ลบุดดา’ เด็กหนุ่มที่เป็นมนุษย์เนื้อธรรมดา แต่มีพลังพิเศษ เดินไปที่ใดหญ้าก็งอกงาม น้ำก็รวมตัวกัน ซึ่งกองทัพ AI พยายามจะทำลายโอม ทำให้มนุษย์ที่เหลือ นำโดยกองทัพไทยที่มีตัวละครอย่างท่านย่าที่เหมือนซูสีไทเฮา และเจ้าหญิง (ซึ่งผู้กำกับเผยว่าเคยติดต่อ ลิซ่า Blackpink แต่ถูกปฏิเสธ และกำลังจะมีนางเอกใหม่ที่ยังไม่เปิดเผยตัว) ต้องร่วมมือกันปกป้องโอม
ภาพยนตร์ไตรภาคนี้จะสร้างทั้งหมด 3 ภาค โดยใช้เงินทุนภาคละ 300 ล้านบาท รวมทั้งหมด 900 ล้านบาท ทรนง ศรีเชื้อ เผยว่าเขาเขียนบทเรื่องนี้ครั้งแรกเมื่อ 52 ปีที่แล้วให้กับคุณยุทธนา มุกดาสนิท และได้ปรับบทมาเรื่อยๆ ถึง 41 ครั้ง จนได้บทที่สมบูรณ์แบบ มีการเขียนสตอรี่บอร์ดกว่า 3,000 รูป ใช้เวลาเตรียมงานถึง 4 ปีเต็ม และเปลี่ยนแหล่งทุนมาแล้วถึง 5 แห่ง ก่อนจะได้นายทุนคนปัจจุบันซึ่งเป็นคนไทยที่มาลงทุนให้
เมื่อถามถึงสาเหตุที่นายทุนบางส่วนถอนตัวไป ผู้กำกับกล่าวว่า อาจเป็นเพราะการดำเนินการไม่สำเร็จตามวิธีการของเขา แต่ทุกคนเจตนาดีในการลงทุน ส่วนแหล่งทุนปัจจุบันเป็นโบรกเกอร์ที่เข้ามาช่วยเหลือ หลังจากที่ตัวเขาเองต้องควักทุนส่วนตัวจ่ายมาตลอดในช่วงเตรียมงาน
ทรนง ศรีเชื้อ กล่าวว่า การกลับมาครั้งนี้เขาต้องการ ‘ปฎิวัติวงการภาพยนตร์’ เนื่องจากมองว่าสังคมไทยยังมองภาพยนตร์ไทยในคุณภาพที่ต่ำ เขาตั้งใจจะสร้างผู้กำกับใหม่ๆ สร้างหนังที่พึ่งพาซีจีให้น้อยที่สุด แต่ก็ยังถือว่ามากที่สุดสำหรับหนังไทยในปัจจุบัน และจะสร้างฉากจริงเพื่อปลุกวงการหนังไทย เช่น การสร้างซากยานอวกาศสูง 30 เมตร หรือฉากเครื่องบิน Air Force One ตกที่ทุ่งกุลาร้องไห้ ซึ่งในอนาคต ที่ราบสูงโคราชจะกลายเป็นฐานทัพใต้ดินที่ใหญ่ที่สุดลึกลงไป 1 กิโลเมตร ขณะที่กรุงเทพฯ จะจมอยู่ใต้น้ำ
ชื่อ 2122 มาจากความในใจที่ต้องการกลับมาแก้แค้นความพ่ายแพ้จาก “2022 สึนามิ” เพื่อเอาเงิน 160 ล้านบาทที่เสียไปกลับคืนมาให้ได้ และโชคดีที่มีคนใจดีมาช่วยเหลือ โดยวางแผนจะใช้เวลาถ่ายทำภาคแรกถึง 12 เดือนเต็มต่อ 1 ภาค แม้ทุน 300 ล้านบาทต่อภาคจะดูน้อยสำหรับหนังฟอร์มยักษ์ระดับนี้ แต่จุดขายที่แท้จริงไม่ใช่หนังไซไฟ แต่คือเรื่องราวของ ‘โอม ลิตเติ้ลบุดดา’ ที่จะมาปลุกจิตวิญญาณมนุษย์
เหตุผลที่อยากเล่าเรื่องนี้มากคือการ ‘แอนตี้สงคราม’ ผู้กำกับมองเห็นปัญหาจากสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้นและที่เกิดขึ้นแล้วในหลายพื้นที่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบถึงประเทศไทย จึงต้องการให้ทุกคนร่วมมือกันต่อต้านสงคราม
สำหรับคำถามว่าโปรเจ็กต์ไตรภาคนี้จะเป็นโปรเจ็กต์สุดท้ายหรือไม่ ทรนง ศรีเชื้อ หวังว่าภาคแรกจะได้เงินในเมืองไทยสัก 150 ล้านบาท เพื่อต่อยอดไปยังตลาดต่างประเทศ หากได้เพียง 50 ล้านบาทคงจะน่าอาย แต่เขามีวิธีการทำ และหวังว่าสื่อจะช่วยสนับสนุน แม้จะมีแผลจากอดีต แต่เขามองว่าคนที่เคยมีแผลจะแกร่ง และการพ่ายแพ้หรือล้มเหลวคือบทเรียนที่ดีที่สุด
ผู้กำกับยังเปิดใจถึงช่วงเวลาที่เคยผิดหวังจนเกือบทำร้ายตัวเอง ทั้งการตัดนิ้วตัวเอง และการลองยิงหัวแบบรัสเซียนรูเล็ต แต่รอดมาได้ ซึ่งการฟื้นฟูความรู้สึกเหล่านั้นได้คือการต้องชนะ เพราะที่ผ่านมาถูกคนในวงการกว่า 500 คนปรามาส และเข้าใจผิดในผลงานบางเรื่อง อย่าง “กลกามแห่งรัก” ที่ถูกมองว่าเป็นหนังเจ้าชู้ ทั้งที่จริงเล่าเรื่องผู้หญิงขายตัวเพื่อเลี้ยงครอบครัว
เขาทิ้งท้ายด้วยความมุ่งมั่นว่า จะไม่ยอมให้ความผิดหวังมาทำลาย และชื่อ ทรนง ศรีเชื้อ จะยังคงอยู่ในวงการ