Task Force 88 ลุยปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ทั่วไทย “ผบ.ตร.” ลั่น 3 เดือนเห็นผล จับตา “สงครามไซเบอร์” ภัยคุกคามรูปแบบใหม่ ยูเอ็นชี้อาชญากรรมไซเบอร์วิวัฒนาการไม่หยุด

กรุงเทพฯ – ประเทศไทยกำลังเร่งเครื่องปฏิบัติการกวาดล้างเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติอย่างหนัก ผ่านการจัดตั้ง Task Force 88 ซึ่งเป็นหน่วยงานเฉพาะกิจขึ้นมาใหม่ ขณะที่เจ้าหน้าที่สหประชาชาติ (UN) ออกคำเตือนว่าองค์กรอาชญากรรมเหล่านี้กำลังปรับเปลี่ยนกลยุทธ์อย่างรวดเร็วและซับซ้อนยิ่งขึ้น

พลตำรวจโท ทัชชัย พิทักษ์เทวาธิบดี จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ และผู้อำนวยการ Task Force 88 ได้เริ่มภารกิจบูรณาการในการปราบปรามแก๊งอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยกำหนดกรอบเวลา 3 เดือนเพื่อให้เห็นผลการดำเนินงานอย่างเป็นรูปธรรม

การประชุมครั้งแรกของ Task Force 88 ซึ่งเป็นศูนย์ปฏิบัติการพิเศษที่มุ่งเน้นอาชญากรรมทางเทคโนโลยีและการค้ามนุษย์ในพื้นที่ชายแดน จัดขึ้นที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2568 โดยมีผู้แทนจาก 32 หน่วยงาน รวมถึงหน่วยงานตำรวจทุกภาคส่วน เข้าร่วมหารือ

กลยุทธ์ “ทุบสะพานอาชญากรรม”

พล.ต.ท. ทัชชัย ได้ชี้แจงแนวทางการแก้ไขปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างชัดเจน โดยเน้นการบังคับใช้กลยุทธ์ “ทุบสะพานอาชญากรรม” ผ่านมาตรการสำคัญ 3 ด้าน ได้แก่

  • การตัดสัญญาณสื่อสาร: การรื้อถอนเสาสัญญาณผิดกฎหมาย การปราบปรามซิมผี และการติดตามแหล่งที่ตั้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์ผ่าน IP Address
  • การสกัดเส้นทางการเงิน: การเฝ้าระวังบัญชีธนาคารที่น่าสงสัย การถอนเงินผ่านตู้ ATM บริเวณชายแดน และการตรวจสอบธุรกรรมสกุลเงินดิจิทัล
  • การรักษาความปลอดภัยชายแดน: การป้องกันการข้ามแดนโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งเป็นช่องทางให้อาชญากรปฏิบัติการในประเทศเพื่อนบ้าน

ไม่มีการผ่อนปรนสำหรับคนไทยที่ร่วมขบวนการ

จากการปฏิบัติการล่าสุดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา มีการจับกุมและส่งตัวคนไทยกลับประเทศถึง 175 คน เจ้าหน้าที่ยืนยันว่าบุคคลเหล่านี้ไม่ใช่เหยื่อการค้ามนุษย์ แต่เป็นผู้ที่มีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในปฏิบัติการหลอกลวงข้ามชาติ ซึ่งขณะนี้กำลังถูกดำเนินคดีใน 4 ข้อหาหลัก

สงครามไซเบอร์ – ภัยคุกคามความมั่นคงรูปแบบใหม่

“ปัญหานี้ถือเป็นภัยคุกคามความมั่นคงรูปแบบใหม่ – เป็นสงครามไซเบอร์” พล.ต.ท. ทัชชัย กล่าว พร้อมแสดงความมั่นใจว่าการบูรณาการทำงานร่วมกันของทุกหน่วยงานจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพภายใน 3 เดือน

การริเริ่มครั้งนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 83/2568 ของนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน (อ้างอิงจากข่าวต้นฉบับ – *หมายเหตุ: ชื่อ นรม. ในข่าวต้นฉบับไม่ตรงกับชื่อ นรม. ปัจจุบันในไทย ณ วันที่สร้างข่าว แต่ต้องยึดตามแหล่งข่าว*) ที่กำหนดกลไกในการจัดการกับภัยคุกคามความมั่นคงตามแนวชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะเมียนมาและกัมพูชา

ความร่วมมือระหว่างประเทศคือกุญแจสำคัญ

หลังการประชุม Task Force 88 พล.ต.ท. ทัชชัย ได้เข้าร่วมการเสวนาผู้เชี่ยวชาญเรื่องแก๊งคอลเซ็นเตอร์และอาชญากรรมไซเบอร์ในภูมิภาคแม่น้ำโขง ซึ่งจัดโดยสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ณ สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ (FCCT)

ท่านได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการประสานงานกับรัฐบาลและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของต่างประเทศ เพื่อทลายเครือข่ายแก๊งหลอกลวงข้ามชาติและรวบรวมพยานหลักฐาน ประเทศไทยมีบทบาทสำคัญในการส่งตัวชาวต่างชาติ 7,177 คน จาก 33 ประเทศ ที่เกี่ยวข้องกับการหลอกลวงในพื้นที่เมียวดี ประเทศเมียนมา กลับประเทศ

“เราได้ขอความร่วมมือจากประเทศต้นทางเพื่อสัมภาษณ์ผู้ต้องสงสัยและแบ่งปันหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์” พล.ต.ท. ทัชชัย กล่าว พร้อมยกตัวอย่างความร่วมมือที่แข็งแกร่งกับจีน ญี่ปุ่น และกัมพูชา ซึ่งนำไปสู่การจับกุมทั้งหัวหน้าขบวนการและสมาชิกจำนวนมากที่ปฏิบัติการอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน

อาชญากรรมที่ซับซ้อนขึ้นอย่างรวดเร็ว

นายเบเนดิกต์ ฮอฟมันน์ ผู้แทน UNODC ประจำภูมิภาค เปิดเผยว่าองค์กรอาชญากรรมเหล่านี้กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วเกินกว่าภูมิภาคเอเชีย และก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจและจิตใจเพิ่มมากขึ้นทั่วโลก ที่น่าตกใจกว่านั้นคือ พวกเขากำลังแตกแขนงไปสู่อาชญากรรมร้ายแรงอื่นๆ เช่น การผลิตและค้ายาเสพติด

นายฮอฟมันน์ ระบุว่า “เราพบผู้คนจาก 56 ประเทศที่ถูกหลอกให้ไปทำงานในแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยมีแนวโน้มการสรรหาจากประเทศที่พูดภาษาอังกฤษและฝรั่งเศสเพิ่มขึ้น” พร้อมเสริมว่า ปัจจุบันมีจำนวนคนไม่น้อยที่เข้าร่วมปฏิบัติการเหล่านี้ด้วยความสมัครใจ

กลโกงที่ล้ำสมัยขึ้น

กลุ่มอาชญากรกำลังใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อสร้างกลโกงที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น รวมถึงเทคโนโลยีดีปเฟก (Deepfake) ซึ่งทำให้การตรวจจับยากขึ้น การทลายแหล่งในประเทศไนจีเรียเมื่อเดือนมกราคม (2568) พบว่าเชื่อมโยงกับอาชญากรชาวจีน ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ซึ่งเคยมีฐานปฏิบัติการอยู่ในกลุ่มประเทศอาเซียน

นายจอห์น วอจชิค นักวิเคราะห์ประจำภูมิภาคของ UNODC เน้นย้ำถึงการเกิดขึ้นของกลุ่มฟอกเงินเฉพาะทางที่ทำหน้าที่เสมือน “สถาบันการเงินผิดกฎหมาย” ซึ่งปัจจุบันให้บริการแก่อาชญากรรมหลากหลายประเภททั่วโลก รวมถึงการค้ายาเสพติด แฮกเกอร์ ผู้เผยแพร่สื่อลามกอนาจารเด็ก และการค้ามนุษย์

นายวอจชิค ยกตัวอย่าง HuiOne Guarantee ซึ่งเป็นตลาดมืดออนไลน์ที่ขายผลิตภัณฑ์ผิดกฎหมายและบริการครบวงจรสำหรับการตั้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์ รวมถึงข้อมูลส่วนบุคคล ซอฟต์แวร์ และระบบหลอกลวง องค์กรนี้ยังได้พัฒนาสกุลเงินดิจิทัลของตัวเอง คือ HuiOne Blockchain และ USDH เพื่อหลีกเลี่ยงการยึดทรัพย์และข้อจำกัดทางกฎหมาย

ภัยคุกคามมัลแวร์บนมือถือ

นางสาวเจนนิเฟอร์ โซห์ จากบริษัทด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ Group-IB เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับ “Android Malware Scams” หรือกลโกงมัลแวร์บนระบบแอนดรอยด์ ที่หลอกเหยื่อให้ติดตั้งแอปพลิเคชันปลอม ทำให้เหล่าอาชญากรไซเบอร์สามารถควบคุมอุปกรณ์ของเหยื่อจากระยะไกลได้ กลโกงเหล่านี้อาจรวมถึงการหลอกเหยื่อให้บันทึกวิดีโอใบหน้า ซึ่งอาชญากรจะนำไปใช้หลบเลี่ยงระบบการยืนยันใบหน้าในแอปพลิเคชันธนาคารผ่านเครื่องมือที่เรียกว่า Camera Injection Tools

“ภัยคุกคามนี้แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าของอาชญากรไซเบอร์ในการโจมตีระบบความปลอดภัยทางการเงินบนมือถือโดยตรง” นางสาวโซห์ เตือน พร้อมเรียกร้องให้ผู้ใช้เพิ่มความระมัดระวังในการใช้งานแอปพลิเคชันบนมือถือมากยิ่งขึ้น

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *