ไทยร่วมเจรจากับสหรัฐฯ หลังโดนภาษีนำเข้า 36% พร้อมแผนรับมือระยะสั้น-ยาว

กรุงเทพฯ — ประเทศไทยได้เข้าร่วมกับประเทศอื่นๆ กว่า 50 ประเทศในการเจรจากับสหรัฐอเมริกา หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยในอัตรา 36% ซึ่งส่งผลกระทบต่อตลาดโลกและสร้างความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย

พล.อ.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประกาศเมื่อวันที่ 6 เมษายน ว่าไทยจะเข้าสู่กระบวนการเจรจากับสหรัฐฯ หลังมีการขึ้นภาษีสินค้าไทย โดยนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เดินทางไปสหรัฐฯ เพื่อหารือกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องหลัก

“ไทยเป็นพันธมิตรทางเศรษฐกิจที่เชื่อถือได้ของสหรัฐฯ มาโดยตลอด ไม่ใช่แค่ผู้ส่งออกสินค้า” นายกรัฐมนตรีกล่าวในแถลงการณ์

ภาษีนำเข้าดังกล่าวซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน ถือเป็นความท้าทายครั้งใหญ่สำหรับภาคการส่งออกของไทย โดยเฉพาะสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ อาหารแปรรูป และผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร

ยุทธศาสตร์การเจรจาของไทย

รัฐบาลไทยได้วางแนวทางหลายประการเพื่อรับมือกับภาษีนำเข้าดังกล่าว:

  • เสนอให้สหรัฐฯ เพิ่มการนำเข้าสินค้าในภาคพลังงาน การบิน และเกษตรกรรม
  • ร่วมมือกับกลุ่มอุตสาหกรรมและเกษตรกรรมของสหรัฐฯ
  • ส่งเสริมการลงทุนของไทยในสหรัฐฯ
  • ลดอุปสรรคทางการค้าและแก้ไขปัญหาการแสดงที่มาของสินค้า

นายกรัฐมนตรียังให้ความมั่นใจกับภาคธุรกิจว่ารัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว รวมถึงการช่วยเหลือวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) โดยการขยายตลาดส่งออกใหม่ในตะวันออกกลาง ยุโรป และอินเดีย พร้อมเร่งเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี

รายละเอียดการขึ้นภาษีของทรัมป์

นายวุฒิไกร ลีวีระพันธ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์และประธานคณะทำงานนโยบายการค้าสหรัฐฯ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการขึ้นภาษี:

สหรัฐฯ จะขึ้นภาษีใน 2 ระยะ:

  • ระยะที่ 1: เริ่มเวลา 00:01 น. ของวันที่ 5 เมษายน 2568 (ตามเวลาสหรัฐฯ) — ภาษี 10% สำหรับสินค้านำเข้าทุกประเภทจากทุกประเทศ
  • ระยะที่ 2: เริ่มเวลา 00:01 น. ของวันที่ 9 เมษายน 2568 — ภาษีเฉพาะประเทศ (Reciprocal Tariffs) โดยไทยจะถูกขึ้นภาษี 36%

อย่างไรก็ตาม สินค้าที่อยู่ในระหว่างการขนส่งไปยังสหรัฐฯ ก่อนวันที่ 9 เมษายน จะได้รับการยกเว้นภาษี 36%

ปฏิกิริยาจากประเทศสมาชิกอาเซียน

การประกาศขึ้นภาษีเมื่อวันที่ 2 เมษายน ได้กระตุ้นให้ประเทศสมาชิกอาเซียนเริ่มประสานงานกัน เวียดนามซึ่งเป็นศูนย์กลางการผลิตเสื้อผ้า ได้หารือเกี่ยวกับการลดภาษีเป็นศูนย์เพื่อแลกกับข้อตกลงกับสหรัฐฯ ขณะที่กัมพูชาได้ขอเลื่อนการขึ้นภาษี 49% สำหรับสินค้าของตน

ประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นๆ เช่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ กำลังเตรียมแผนการเจรจาที่คล้ายคลึงกัน โดยคาดว่ากระทรวงเศรษฐกิจของภูมิภาคจะจัดการประชุมฉุกเฉินเพื่อประสานแนวทางร่วมกัน

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *