ไทยก้าวสู่ ‘ศูนย์กลางเงินดิจิทัลโลก’ จัดประชุม Digital Currency Conference 2025 ที่กรุงเทพฯ สะท้อนเทรนด์คริปโตที่เปลี่ยนไป

กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย เตรียมรับบทบาทสำคัญในเวทีระดับโลก โดยได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมนานาชาติ Digital Currency Conference 2025 ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ชัดเจนยิ่งขึ้นว่า โลกกำลังมุ่งเข้าสู่ยุคใหม่ของการเงินและการชำระเงินที่นอกเหนือไปจากรูปแบบเดิม ๆ อย่างธนบัตรหรือบัตรเครดิต.

การเป็นเจ้าภาพครั้งนี้ ตอกย้ำให้ประเทศไทยกลายเป็นจุดศูนย์กลางสำคัญสำหรับการหารือเชิงลึกเกี่ยวกับอนาคตของสกุลเงินดิจิทัล การออกแบบระบบการเงินแห่งอนาคต รวมถึงการปรับตัวและบทบาทของธนาคารกลางในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามาพลิกโฉมกติกาทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว.

ปัจจุบัน ตลาดคริปโตในประเทศไทยไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่นักลงทุนรายย่อยเท่านั้น แต่ยังขยายวงกว้างไปสู่ระดับนโยบาย สถาบันการเงิน และมุมมองทางเศรษฐศาสตร์โดยรวม กระแสการพูดถึง CBDC (Central Bank Digital Currency) หรือสกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง กำลังเป็นแรงผลักดันสำคัญให้ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องเร่งศึกษาและปรับตัว ในขณะเดียวกัน ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่หลายแห่งก็เริ่มเดินหน้าทดสอบระบบการรับจ่ายด้วยโทเคนดิจิทัล และการเชื่อมต่อกับเทคโนโลยีบล็อกเชนอย่างจริงจังแล้ว.

จากพัฒนาการเหล่านี้ ผู้ใช้งานและนักลงทุนจำนวนมากจึงเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับความปลอดภัยในการจัดเก็บสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้งาน Hardware Wallet หรือกระเป๋าเงินคริปโตแบบออฟไลน์ ที่แยกการเก็บกุญแจส่วนตัวออกจากระบบอินเทอร์เน็ต เพื่อลดความเสี่ยงจากการถูกแฮกหรือโจมตีทางไซเบอร์ อุปกรณ์เหล่านี้เริ่มมีวางจำหน่ายอย่างแพร่หลายในไทย และได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ใช้งานระดับกลางถึงสูงที่ต้องการเก็บรักษาสินทรัพย์ดิจิทัลจำนวนมาก หรือเหรียญที่ตั้งใจถือครองระยะยาว.

ความนิยมที่เพิ่มขึ้นของ Hardware Wallet สะท้อนให้เห็นว่า เทรนด์การลงทุนในคริปโตของคนไทยกำลังก้าวเข้าสู่ระดับของ ‘ความรับผิดชอบ’ และการวางแผนการลงทุนที่รอบคอบมากขึ้น ไม่ใช่แค่การเก็งกำไรระยะสั้นอย่างที่เคยเป็นมาในอดีต.

ในระดับประชาชนทั่วไป เทคโนโลยีทางการเงินได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันอย่างแนบเนียน เช่น การใช้วอลเล็ตดิจิทัล หรือการโอนเงินแบบ peer-to-peer ผ่านเทคโนโลยีใหม่ ๆ ซึ่งกลายเป็นเรื่องปกติวิสัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหลังการระบาดของโรคโควิด-19 ที่พฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้คนเปลี่ยนจากการใช้เงินสดมาพึ่งพาการชำระเงินแบบไร้สัมผัส (contactless) มากขึ้น การเติบโตของตลาดคริปโตในไทยจึงมีรากฐานมาจากปัจจัยด้านความสะดวก ความโปร่งใส และการเข้าถึงบริการทางการเงินที่ง่ายขึ้น โดยเฉพาะสำหรับกลุ่มคนที่อาจเคยมีข้อจำกัดในการเข้าถึงระบบธนาคารแบบดั้งเดิม.

นอกจากนี้ การที่ประเทศไทยได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพการประชุมระดับนานาชาติ Digital Currency Conference 2025 ยังชี้ให้เห็นถึงศักยภาพของประเทศในฐานะศูนย์กลางด้านการเงินและเทคโนโลยีในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผู้แทนจากธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลก เช่น จากสหราชอาณาจักร ออสเตรีย มาลาวี รวมถึงองค์กรฟินเทคระดับโลก เตรียมเดินทางมาแลกเปลี่ยนแนวคิดและประสบการณ์กับภาคส่วนต่าง ๆ ในประเทศไทย ทั้งจากธนาคารพาณิชย์ชั้นนำ บริษัทเทคโนโลยี ไปจนถึงองค์กรวิจัยด้านควอนตัมและบล็อกเชนในประเทศ.

สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความพร้อมของประเทศไทยในการมีส่วนร่วมและบทบาทสำคัญในเวทีโลก ในฐานะ ‘ผู้เล่น’ ที่ร่วมกำหนดทิศทาง ไม่ใช่เพียงผู้ตามเทคโนโลยีอีกต่อไป.

อย่างไรก็ตาม บทบาทของคริปโตเคอร์เรนซีในไทยยังคงต้องเผชิญความท้าทายในหลายด้าน ทั้งในส่วนของกฎหมาย ภาษี และแนวทางการกำกับดูแล ซึ่งยังอยู่ในช่วงของการปรับเปลี่ยนและพัฒนากรอบที่เหมาะสม ผู้กำกับนโยบายต้องสร้างสมดุลระหว่างการส่งเสริมการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ กับการป้องกันความเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อระบบการเงินภาพรวม โดยเฉพาะการป้องกันการนำคริปโตไปใช้ในทางที่ผิดกฎหมาย หรือการสร้างภาวะฟองสบู่ทางเศรษฐกิจ การประชุม Digital Currency Conference 2025 จึงนับเป็นโอกาสทองที่หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนของไทยจะได้เรียนรู้จากประสบการณ์ของประเทศอื่น ๆ และต่อยอดไปสู่การกำหนดทิศทางและนโยบายด้านสินทรัพย์ดิจิทัลในอนาคต.

ในระยะยาว คริปโตเคอร์เรนซีอาจไม่ได้เป็นเพียงแค่สินทรัพย์ลงทุนที่มีความผันผวนสูง แต่จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างทางการเงินที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงความหมายของคำว่า ‘เงิน’ ไปโดยสิ้นเชิง สำหรับประเทศไทย การได้ยืนอยู่ ณ จุดศูนย์กลางของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ ถือเป็นโอกาสอันดีที่จะกำหนดบทบาทของประเทศในเวทีโลกยุคใหม่ และเสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขันในโลกที่เงินไม่จำเป็นต้องอยู่ในรูปแบบของธนบัตรอีกต่อไป.

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *