ปฏิบัติการกวาดล้างอาชญากรรมข้ามชาติ: ไทยร่วมส่งกลับผู้ต้องสงสัยแก๊งคอลเซ็นเตอร์กว่า 650 คน
หน่วยเฉพาะกิจราชมนู (ฉก.ราชมนู) กองกำลังนเรศวร (กกล.นเรศวร) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ อำนวยความสะดวกในการส่งตัวบุคคลต่างชาติที่เกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์จำนวนมหาศาลกลับประเทศต้นทาง โดยปฏิบัติการดังกล่าวเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติที่สร้างความเสียหายอย่างรุนแรง
เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2568 หน่วยเฉพาะกิจราชมนู กองกำลังนเรศวร ได้ปฏิบัติภารกิจสำคัญตามแผนการส่งกลับบุคคลต่างชาติที่ถูกระบุว่าเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จำนวนรวม 252 คน จาก 4 สัญชาติ โดยการดำเนินการเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัย เพื่อส่งมอบบุคคลเหล่านี้กลับสู่กระบวนการยุติธรรมในประเทศของตนเอง
รายละเอียดของการส่งกลับในวันที่ 28 เมษายน 2568 ประกอบด้วย:
- สัญชาติเวียดนาม จำนวน 221 คน: เดินทางโดยรถบัส จำนวน 6 คัน ไปยังสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ เพื่อขึ้นเครื่องบินกลับประเทศ
- สัญชาติซิมบับเว จำนวน 1 คน: เดินทางโดยเครื่องบินจากสนามบินนานาชาติแม่สอด เพื่อต่อเครื่องที่สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ
- สัญชาติปากีสถาน จำนวน 15 คน: เดินทางโดยรถบัสไปยังสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ
- สัญชาติยูกันดา จำนวน 18 คน: เดินทางโดยรถบัสไปยังสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ
ปฏิบัติการนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามครั้งใหญ่ในการกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์และอาชญากรรมออนไลน์ ซึ่งมักมีฐานปฏิบัติการในพื้นที่ชายแดนหรือประเทศเพื่อนบ้าน และใช้ประเทศไทยเป็นเส้นทางหรือจุดพัก การร่วมมือระหว่างไทยกับประเทศต้นทางของกลุ่มผู้กระทำผิดถือเป็นหัวใจสำคัญในการหยุดยั้งเครือข่ายอาชญากรรมเหล่านี้
นอกเหนือจากกลุ่ม 252 คนดังกล่าว ยังมีรายงานเพิ่มเติมถึงการส่งกลับผู้ต้องสงสัยแก๊งคอลเซ็นเตอร์กลุ่มใหญ่อีกหลายครั้ง ก่อนหน้านี้ ไทยได้ร่วมส่งตัวบุคคลสัญชาติจีนและแอฟริกาใต้ จำนวน 392 คน กลับประเทศ หลังมีการพาตัวออกมาจากพื้นที่ในประเทศเมียนมา ซึ่งเชื่อว่าเป็นแหล่งกบดานของแก๊งคอลเซ็นเตอร์จำนวนมาก นอกจากนี้ ยังมีรายงานการควบคุมตัวและส่งกลับผู้ต้องหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์สัญชาติจีนอีก 10 คน ที่หลบหนีข้ามแดนไปยังเมียวดี ประเทศเมียนมา เพื่อนำกลับไปดำเนินคดีที่ประเทศจีน
เมื่อรวมจำนวนผู้ที่ถูกส่งกลับจากปฏิบัติการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในช่วงที่ผ่านมา พบว่ามีจำนวนรวมกว่า 650 คน แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของหน่วยงานด้านความมั่นคงและบังคับใช้กฎหมายของไทย ในการร่วมมือกับประชาคมระหว่างประเทศ เพื่อต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์และปกป้องประชาชนจากภัยร้ายของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งสร้างความเดือดร้อนและสูญเสียทางทรัพย์สินให้กับประชาชนจำนวนมากทั้งในไทยและต่างประเทศ
การปฏิบัติการส่งกลับครั้งนี้ ไม่เพียงแต่เป็นการดำเนินการตามกฎหมาย แต่ยังส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าประเทศไทยจะไม่ใช่ฐานที่มั่นหรือทางผ่านสำหรับการกระทำความผิดข้ามชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาชญากรรมทางเทคโนโลยีที่ใช้ความซับซ้อนในการหลอกลวงประชาชน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยยังคงทำงานอย่างใกล้ชิดกับประเทศเพื่อนบ้านและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายทั่วโลก เพื่อสกัดกั้นและทำลายเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างต่อเนื่องและเด็ดขาดต่อไป