ไทยเผชิญสภาพอากาศสุดขั้ว! ทั้งร้อนจัด-พายุถล่ม เตือน 4 จังหวัดเสี่ยง 52°C ผลพวงโลกร้อน

ประเทศไทยกำลังเผชิญกับสภาพอากาศที่แปรปรวนอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในช่วงปลายเดือนมีนาคมต่อเนื่องตลอดเดือนเมษายน และเข้าสู่ต้นเดือนพฤษภาคมปีนี้ ซึ่งมีทั้งพายุฝนฟ้าคะนองที่รุนแรงราวกับเข้าสู่ฤดูฝนแล้ว ขณะเดียวกันก็ต้องเผชิญกับคลื่นความร้อนจัดในหลายพื้นที่

สถานการณ์พายุฝนที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ ไม่ใช่แค่ฝนตกธรรมดา แต่มีความรุนแรงถึงขั้นทำให้เกิดความเสียหายต่อบ้านเรือนจากลมพัดแรง และที่น่ากังวลคือการเกิดน้ำท่วมฉับพลันในหลายพื้นที่ แม้จะยังไม่ถึงฤดูฝนเต็มตัว ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือเหตุการณ์น้ำหลากจากฝั่งประเทศเพื่อนบ้านเข้าท่วมพื้นที่แม่สาย จังหวัดเชียงราย ซึ่งเพิ่งฟื้นตัวจากเหตุน้ำท่วมและโคลนถล่มเมื่อปลายปีก่อน ทำให้ร้านค้าต้องเร่งขนย้ายข้าวของ แม้ระดับน้ำจะลดลงอย่างรวดเร็วก็ตาม

นอกจากนี้ ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา ซึ่งปกติเป็นช่วงเวลาแห่งการเล่นสาดน้ำและกิจกรรมกลางแจ้ง หลายพื้นที่กลับมีฝนตกหนักจนต้องยกเลิกงานรื่นเริงและคอนเสิร์ตต่างๆ ไป สร้างความผิดหวังให้กับผู้คนเป็นจำนวนมาก

ในทางกลับกัน วันไหนที่ไม่มีฝนตก ประเทศไทยก็ต้องเผชิญกับสภาพอากาศที่ร้อนจัดถึงขั้นอันตราย อุณหภูมิโดยเฉลี่ยในเดือนเมษายนที่ผ่านมาสูงเกิน 40 องศาเซลเซียสในหลายพื้นที่ ซึ่งถือเป็นความร้อนในระดับที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ

ล่าสุด กระทรวงสาธารณสุขได้ออกมาเตือนประชาชนให้ระวังโรคลมแดด หรือ ฮีตสโตรก (Heatstroke) ซึ่งมีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้นอย่างน่าเป็นห่วง พร้อมทั้งได้ประกาศเตือนพิเศษสำหรับ 4 จังหวัดภาคใต้ คือ ภูเก็ต ปัตตานี นครศรีธรรมราช และสงขลา ซึ่งมีความเสี่ยงที่อุณหภูมิความร้อนจะพุ่งสูงถึง 52 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นระดับที่เป็นอันตรายอย่างยิ่ง ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงและทั่วประเทศจึงควรหลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดจัดเป็นเวลานาน และดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอเพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ

สถานการณ์สภาพอากาศสุดขั้วที่เกิดขึ้นพร้อมกัน ทั้งพายุฝนรุนแรงที่เสี่ยงต่อน้ำท่วม และความร้อนจัดที่เสี่ยงต่อฮีตสโตรก ชี้ให้เห็นถึงความผิดปกติของสภาพอากาศที่ประชาชนต้องปรับตัวและเตรียมรับมือไปพร้อมๆ กัน

ผู้เชี่ยวชาญด้านสภาพอากาศชี้ว่า ปรากฏการณ์สภาพอากาศที่เหวี่ยงสุดขั้วในปีนี้ เป็นผลมาจากภาวะโลกร้อนที่ทวีความรุนแรงขึ้น เมื่ออุณหภูมิเฉลี่ยของโลกสูงขึ้น ย่อมส่งผลให้ฤดูร้อนมีความร้อนจัดมากขึ้น และเมื่อมีความร้อนจัดขึ้น การระเหยของน้ำก็จะเพิ่มสูงขึ้น ทำให้เกิดไอน้ำในชั้นบรรยากาศจำนวนมาก ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงสำคัญของการเกิดพายุฝนที่รุนแรงขึ้นตามไปด้วย

นอกจากนี้ ภัยธรรมชาติรูปแบบใหม่ที่มาพร้อมกับภาวะโลกร้อนรุนแรง คือปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “เรนบอมบ์” (Rain Bomb) ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของเหตุน้ำท่วมและดินถล่มในหลายจังหวัดเมื่อปีที่แล้ว รวมถึงเหตุน้ำหลาก โคลนถล่มที่แม่สาย ปรากฏการณ์เรนบอมบ์ คือการที่ฝนตกหนักอย่างมหาศาลในจุดเดียวโดยไม่เคลื่อนที่ไปไหน ทำให้เกิดการสะสมของน้ำและนำไปสู่ดินถล่ม โคลนทะลัก และน้ำท่วมหนักในวงจำกัดแต่มีความรุนแรงสูง

ขณะนี้ ประเทศไทยกำลังจะเข้าสู่ฤดูฝนอย่างเต็มตัวในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม คำถามที่น่ากังวลคือ หากเพียงแค่ช่วงก่อนเข้าสู่ฤดูฝน สภาพอากาศยังมีความรุนแรงขนาดนี้ เมื่อเข้าสู่ฤดูฝนจริงๆ พายุฝนและปัญหาที่ตามมา เช่น น้ำท่วม ดินถล่ม น้ำป่าไหลหลาก จะมีความรุนแรงมากน้อยเพียงใด

หน่วยงานภาครัฐและประชาชนจึงควรเร่งเตรียมพร้อมรับมือกับภัยพิบัติทางธรรมชาติที่อาจทวีความรุนแรงขึ้น ทั้งการตรวจสอบและเสริมความแข็งแรงของโครงสร้างบ้านเรือน การเตรียมแผนอพยพในพื้นที่เสี่ยง การจัดเก็บสิ่งของมีค่าไว้ในที่ปลอดภัย และการติดตามข่าวสารสภาพอากาศอย่างใกล้ชิด รวมถึงการปฏิบัติตามคำแนะนำของหน่วยงานสาธารณสุขในการป้องกันโรคลมแดดจากความร้อนจัด นับเป็นความท้าทายที่ประชาชนทุกคนต้องตระหนักและรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่กำลังเกิดขึ้น

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *