ไทยดันน้ำพุร้อนสู่ ‘สปาทาวน์-ออนเซ็นระดับโลก’ หวังชิงเค้กท่องเที่ยวแข่งญี่ปุ่น ปั้นเชียงใหม่ต้นแบบนำร่อง
กรุงเทพฯ – กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเดินหน้าผลักดันการพัฒนาแหล่งน้ำพุร้อนธรรมชาติทั่วประเทศ ให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพระดับสากลในรูปแบบ ‘สปาทาวน์’ หรือ ‘ออนเซ็นทาวน์’ เทียบชั้นรีสอร์ทน้ำพุร้อนชื่อดังในประเทศญี่ปุ่น หวังดึงดูดนักท่องเที่ยวและสร้างรายได้กระจายสู่เมืองรอง
นางสาว ณัฐรียา ทวีวงศ์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า จากการสำรวจข้อมูลในปี 2566 ประเทศไทยมีแหล่งน้ำพุร้อนกระจายอยู่ทั่วประเทศรวมทั้งสิ้น 118 แห่ง แบ่งเป็นภาคเหนือ 71 แห่ง ภาคใต้ 32 แห่ง ภาคกลาง 12 แห่ง และภาคตะวันออก 2 แห่ง โดยสามารถจำแนกตามลักษณะได้เป็น น้ำพุร้อนธรรมชาติที่โดดเดี่ยว 12 แห่ง แหล่งน้ำพุร้อนในพื้นที่ธรรมชาติ 33 แห่ง แหล่งน้ำพุร้อนในชนบท 63 แห่ง และแหล่งน้ำพุร้อนในเขตเมือง 10 แห่ง
“รัฐบาลมีนโยบายในการนำทุนทางธรรมชาติเหล่านี้มาต่อยอด พัฒนาให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ ยกระดับให้เป็น ‘สปาทาวน์’ ในแบบยุโรป หรือ ‘ออนเซ็นทาวน์’ ในแบบญี่ปุ่น” นางสาว ณัฐรียา กล่าวและเสริมว่า แนวคิดนี้คือการเชื่อมโยงแหล่งน้ำพุร้อนเข้ากับแหล่งท่องเที่ยวใกล้เคียง เพื่อสร้างแบรนด์น้ำพุร้อนไทยในระดับสากล และกระจายรายได้สู่เมืองรองต่างๆ ทั่วประเทศ
ปัจจุบัน กองยุทธศาสตร์และแผนงาน สำนักงานปลัดกระทรวง ได้ดำเนินการรวบรวมสถิติและข้อมูลความนิยมในการใช้บริการแหล่งน้ำพุร้อนทั่วประเทศ และได้คัดเลือก ‘น้ำพุร้อนสันกำแพง’ จังหวัดเชียงใหม่ เป็นพื้นที่ต้นแบบนำร่องในการพัฒนา
สำหรับความคืบหน้าการดำเนินงาน กรมการท่องเที่ยวอยู่ระหว่างการลงนามในสัญญาจ้างที่ปรึกษา เพื่อศึกษาและออกแบบโครงการ ซึ่งคาดว่าจะสามารถลงนามในสัญญาได้ภายในเดือนมิถุนายนนี้ โดยจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่น้ำพุร้อนสันกำแพง อยู่ระหว่างการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง และคาดว่าจะลงนามสัญญาจ้างได้ในวันที่ 24 มิถุนายนนี้เช่นกัน
ข้อมูลในปี 2566 พบว่า น้ำพุร้อนสันกำแพงมีผู้เข้าเยี่ยมชมจำนวน 384,619 คน สร้างรายได้ 3,504,510 บาท ซึ่งกรมการท่องเที่ยวได้รายงานความก้าวหน้าว่า การพัฒนาเป็นไปตามแผนแม่บทที่วางไว้ โดยแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่
- ระยะที่ 1 (ปี 2568-2570) เน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวก วงเงินงบประมาณ 197 ล้านบาท
- ระยะที่ 2 (ปี 2570) เป็นการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ วงเงินงบประมาณ 253 ล้านบาท โดยขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานในระยะที่ 1
- ระยะที่ 3 มุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่อย่างยั่งยืน ด้วยกลไกการพัฒนาที่ต่อเนื่อง
การพัฒนาแหล่งน้ำพุร้อนเหล่านี้ ถือเป็นก้าวสำคัญของประเทศไทยในการยกระดับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และสร้างจุดขายใหม่ๆ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพ โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการแข่งขันกับตลาดระดับโลกอย่างญี่ปุ่น