สศช. เผย คนไทยว่างงานพุ่ง 3.6 แสนคน ไตรมาสแรกปี 2568 ชี้เศรษฐกิจยังซึม ฉุดภาคเกษตร

กรุงเทพฯ – สำนักงานสถิติแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยสถานการณ์แรงงานในไตรมาสที่ 1 ปี 2568 ซึ่งสะท้อนภาพรวมเศรษฐกิจไทยที่ยังคงเผชิญกับความท้าทาย โดยพบว่ามีจำนวนผู้ว่างงานสูงถึง 3.6 แสนคน แม้ว่าอัตราการว่างงานโดยรวมจะลดลงเล็กน้อยก็ตาม

นายภุชพงค์ โนดไธสง ผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติ กล่าวว่า จากการสำรวจประชากรอายุ 15 ปีขึ้นไปจำนวน 59.36 ล้านคน พบว่ามีผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงาน 40.09 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 67.54 ของประชากรทั้งหมด ส่วนที่เหลืออีก 19.27 ล้านคน หรือร้อยละ 32.46 อยู่นอกกำลังแรงงาน

จากจำนวนผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงานทั้งหมด 40.09 ล้านคน เป็นผู้มีงานทำจำนวน 39.38 ล้านคน ผู้ว่างงานจำนวน 3.6 แสนคน และผู้รอฤดูกาลจำนวน 3.5 แสนคน ซึ่งตัวเลขผู้มีงานทำนี้ลดลงประมาณ 2 แสนคน หรือลดลงร้อยละ 0.51 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยสาเหตุหลักมาจากการปรับลดลงของผู้มีงานทำในภาคเกษตรกรรม

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ในภาคส่วนอื่นๆ ก็มีความแตกต่างกันออกไป โดยผู้มีงานทำนอกภาคเกษตรกรรมยังคงมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มที่พักแรมและบริการด้านอาหาร ซึ่งฟื้นตัวตามภาคการท่องเที่ยว กลุ่มการบริหารราชการ การป้องกันประเทศฯ และกลุ่มกิจกรรมบริการด้านอื่นๆ ที่มีการเติบโตในเกณฑ์สูง แสดงให้เห็นถึงการขยายตัวในบางอุตสาหกรรม

ในทางตรงกันข้าม ยังมีหลายอุตสาหกรรมที่ยังคงได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อความต้องการแรงงานและการจ้างงาน ทำให้จำนวนผู้มีงานทำลดลง โดยเฉพาะในกลุ่มการขายส่งและการขายปลีก การซ่อมยานยนต์ และกลุ่มการก่อสร้าง ซึ่งเป็นภาคส่วนสำคัญของเศรษฐกิจ

สำหรับอัตราการว่างงานในไตรมาสที่ 1 ปี 2568 อยู่ที่ร้อยละ 0.9 ซึ่งลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า แม้ตัวเลขนี้จะดูไม่สูงนัก แต่อัตราจำนวนผู้ว่างงานที่ 3.6 แสนคนยังคงเป็นจำนวนที่ไม่น้อย และสะท้อนถึงความเปราะบางของตลาดแรงงานบางส่วน

นายภุชพงค์ กล่าวสรุปว่า ภาพรวมสถานการณ์แรงงานในไตรมาสนี้ สะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจไทยยังคงต้องเผชิญกับความท้าทาย แต่ก็ยังมีหลายภาคส่วนที่สามารถเติบโตและฟื้นตัวได้ในช่วงนี้ ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการเร่งพัฒนาด้านการฝึกทักษะแรงงานให้ตรงกับความต้องการของตลาดที่กำลังเติบโต และการส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมที่ยังคงหดตัว เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจในระยะยาว

ดังนั้น ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน จำเป็นต้องติดตามสถานการณ์แรงงานในประเทศอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง เพื่อให้ข้อมูลเหล่านี้สามารถนำไปสู่การวางนโยบายและมาตรการที่ตรงจุด และสอดคล้องกับสภาพตลาดแรงงานที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งจะช่วยให้คนไทยมีงานทำที่มั่นคงและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในท้ายที่สุด

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *