ส่งออกข้าวไทยทรุดหนัก 3 เดือนแรก ลด 30% สมาคมฯ หวั่นเวียดนามแซงขึ้นเบอร์ 2 โลก

กรุงเทพฯ – สถานการณ์การส่งออกข้าวไทยในช่วงไตรมาสแรกของปี 2568 เผชิญความท้าทายอย่างหนัก โดยนายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เปิดเผยว่า ปริมาณการส่งออกข้าวสารในสามเดือนแรกอยู่ที่ 2.1 ล้านตัน ลดลงอย่างมีนัยสำคัญถึงประมาณ 30% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

นายชูเกียรติระบุว่า สาเหตุหลักของการปรับลดลงครั้งนี้มาจากหลายปัจจัย อาทิ การที่อินเดียกลับมาส่งออกข้าวอีกครั้ง หลังจากชะลอไปก่อนหน้านี้ รวมถึงประเทศผู้นำเข้ารายใหญ่อย่างฟิลิปปินส์ ซึ่งปีที่แล้วนำเข้าข้าวจากไทยถึง 4 ล้านตัน แต่ปีนี้คาดว่าจะนำเข้าเพียง 1 ล้านตันเท่านั้น และปริมาณที่ลดลงนี้ ไทยยังต้องแข่งขันด้านราคากับอินเดียและเวียดนามอย่างหนัก

ปัจจัยด้านราคาเป็นเรื่องสำคัญ โดยราคาข้าวอินเดียต่ำกว่าไทยถึงกว่า 40 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ส่งผลให้ประเทศผู้นำเข้าหลายแห่ง อาทิ แอฟริกาใต้ มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ หันไปซื้อข้าวจากอินเดียและเวียดนามแทน แม้ว่าราคาข้าวขาวไทยจะลดลงจากเฉลี่ย 600 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันในปีที่แล้ว เหลือเพียง 400 ดอลลาร์สหรัฐเศษในปัจจุบัน ซึ่งเป็นราคาที่จูงใจมากขึ้นก็ตาม แต่คู่แข่งก็ยังคงเสนอราคาที่ต่ำกว่า

นายชูเกียรติแสดงความกังวลอย่างยิ่งว่า ปริมาณการส่งออกที่ลดลงเมื่อเทียบกับคู่แข่ง จะส่งผลต่ออันดับผู้ส่งออกข้าวของไทยในตลาดโลก โดยกล่าวว่า “แม้ราคาข้าวไทยจูงใจประเทศนำเข้าซื้อเพิ่มก็ตาม แต่อินเดียกับเวียดนามก็ส่งออกได้มากกว่าไทย ไทยส่งออกได้ 2.1 ล้านตัน อินเดียส่งออกแล้ว 2.4 ล้านตัน ทั้งปีนี้คาดว่าอินเดียจะส่งได้เกิน 20 ล้านตัน เวียดนามส่งออกแล้ว 2.3 ล้านตัน มีโอกาสสูงที่ปีนี้เวียดนามจะแซงขึ้นเป็นอันดับสองประเทศผู้ส่งออกข้าวโลก แทนไทยที่อาจตกไปเป็นอันดับสาม”

สำหรับทิศทางการส่งออกข้าวไทยในไตรมาส 2 ปี 2568 นายชูเกียรติคาดการณ์ว่า ตลาดโดยรวมยังคงเงียบ และตัวเลขส่งออกน่าจะใกล้เคียงกับไตรมาสแรก อย่างไรก็ตาม สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยยังคงเป้าหมายการส่งออกทั้งปี 2568 ไว้ที่ 7.5 ล้านตัน โดยจะมีการทบทวนอีกครั้งในช่วงกลางปี

ปัจจัยสำคัญที่ต้องจับตาและจะมีผลต่อการส่งออกข้าวไทยจากนี้ไป ได้แก่:

  1. สถานการณ์นโยบายการค้าของสหรัฐฯ: การปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้า และเงื่อนไขที่แตกต่างกันในแต่ละประเทศ
  2. ตลาดจีน: หลังราคาข้าวขาวไทยลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 400 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ซึ่งต่ำกว่าราคาข้าวในจีนที่เฉลี่ย 500 ดอลลาร์สหรัฐ ทำให้จีนเริ่มเพิ่มการนำเข้ามากขึ้น ซึ่งอาจทดแทนปริมาณที่ลดลงในตลาดอื่นได้ แต่ไทยยังต้องแข่งขันด้านราคากับเวียดนาม อินเดีย และปากีสถาน
  3. ตลาดสหรัฐฯ: ปัจจุบันตลาดสหรัฐฯ มีความตื่นตัวในการนำเข้าข้าวหอมมะลิจากไทยเพื่อซื้อเป็นสต็อกไว้ก่อน หลังมีการเลื่อนการเก็บภาษีนำเข้าจากไทยในอัตราต่างตอบแทนที่ 36% ออกไป 90 วัน (ปัจจุบันเก็บ 10%) ซึ่งเป็นสิ่งจูงใจให้ซื้อเพิ่ม โดยคาดว่าจะเห็นตัวเลขการสั่งซื้อที่ชัดเจนขึ้นหลังช่วงสงกรานต์ นายชูเกียรติระบุว่า ผู้นำเข้าสหรัฐฯ สอบถามราคามาตลอด 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา สหรัฐฯ นำเข้าข้าวหอมจากทั่วโลกปีละ 1.3 ล้านตัน นำเข้าจากไทย 6.3 แสนตัน โดย 3 เดือนแรกปีนี้ส่งออกไปแล้วกว่า 2 แสนตัน ที่ราคเฉลี่ย 1 พันดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ความกังวลคือหากสหรัฐฯ ปรับภาษีนำเข้าข้าวไทยสูงขึ้นเป็น 20-25% หรือ 36% ราคาข้าวหอมมะลิไทยจะพุ่งสูงถึง 1,200-1,300 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ทำให้แข่งขันยากขึ้นมาก

ด้าน ร.ต.ท.เจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวเสริมถึงความกังวลอีกประเด็นนอกเหนือจากอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ นั่นคือ ต้นทุนด้านการขนส่งไปสหรัฐฯ ซึ่งอาจเพิ่มสูงขึ้นจากกรณีที่สหรัฐฯ ประกาศจะขึ้นภาษีสินค้าที่ขนส่งทางเรือซึ่งสร้างในประเทศจีน โดยจะมีผลในเดือนตุลาคมนี้ ซึ่งจะกระทบไปทั่วโลก เนื่องจากจีนเป็นแหล่งต่อเรือขนส่งรายใหญ่ มีสัดส่วนถึง 80% ของโลก

ร.ต.ท.เจริญกล่าวว่า หากมีการบังคับใช้จริง ต้นทุนการขนส่งจะเพิ่มขึ้นประมาณ 6 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ซึ่งจะไปบวกกับราคาข้าวหอมมะลิไทยที่ส่งไปสหรัฐฯ ทำให้ราคาปัจจุบันที่ 1,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน (รวมภาษี 10%) จะกลายเป็น 1,006 ดอลลาร์สหรัฐ และหากภาษีนำเข้าสูงขึ้นอีก ราคาข้าวหอมมะลิไทยก็จะแพงมาก แข่งขันได้ยาก ซึ่งสถานการณ์การค้าและการส่งออกทั่วโลกจะเปลี่ยนแปลงไปมากในยุค “ทรัมป์ 2.0” เป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายทั้งภาครัฐและเอกชนต้องเตรียมพร้อมรับมือ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *