นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2568 ว่า รัฐบาลไทยได้ส่งผู้แทนพิเศษเข้าร่วมพิธีปลงพระศพของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ประมุขแห่งคริสตจักรนิกายโรมันคาทอลิกและนครรัฐวาติกัน ซึ่งจัดขึ้นอย่างสมพระเกียรติ ณ มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ นครรัฐวาติกัน เมื่อเวลา 10.00 น. ของวันที่ 26 เมษายนที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่นนครรัฐวาติกัน (ตรงกับช่วงเย็นวันที่ 27 เมษายน ตามเวลาประเทศไทย)

นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้แทนพิเศษของรัฐบาลไทยในการเข้าร่วมพิธีครั้งสำคัญนี้ โดยมี น.ส.พรรณนภา จันทรารมย์ (ว่าที่) เอกอัครราชทูตประจำนครรัฐวาติกัน และนายธเนศ กิตติธเนศวร เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมคณะ ขณะที่นายธัชสิทธิ์ ประสิทธิรัตน์ อุปทูตฯ ประจำนครรัฐวาติกัน ได้เข้าร่วมในส่วนของคณะทูตานุทูต

ก่อนพิธีเริ่มขึ้น คณะผู้แทนพิเศษจากประเทศไทยได้เข้าพบพระคาร์ดินัล ปิเอโตร ปาโรลิน (Pietro Parolin) เลขาธิการสันตะสำนักในสมัยของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส เพื่อแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งในนามของรัฐบาลและประชาชนชาวไทย

พิธีปลงพระศพจัดขึ้นบริเวณจัตุรัสเซนต์ปีเตอร์ ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้าและการถวายความอาลัยจากทั่วโลก โดยเริ่มขึ้นในเวลา 10.00 น. และเสร็จสิ้นเมื่อเวลา 12.10 น. ตามเวลาท้องถิ่น มีพระคาร์ดินัลโจวานนี บัตตีสตา เร (Cardinal Giovanni Battista Re) ประธานพระคาร์ดินัลทั่วโลก เป็นประธานในพิธี

พิธีเริ่มต้นด้วยการเคลื่อนย้ายโลงพระศพจากภายในมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์มายังบริเวณลานด้านหน้า เพื่อประกอบพิธีปลงพระศพ จากนั้นเข้าสู่ช่วงพิธีกรรมทางศาสนา โดยมีการสวดมนต์ภาวนาเป็นภาษาละตินและภาษาสำคัญต่างๆ เพื่อร่วมกันรำลึกถึงพระเกียรติคุณและพระกรณียกิจของสมเด็จพระสันตะปาปา ผู้ทรงยึดมั่นในความเมตตาและความยุติธรรม

สิ่งที่สำคัญในพิธีนี้คือ ความเรียบง่ายและสมถะตามพระประสงค์ที่ระบุไว้ในพินัยกรรมของพระองค์ โดยไม่มีการประดับตกแต่งที่หรูหราเกินความจำเป็น เพื่อสะท้อนถึงความถ่อมตนและการให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของสาธารณชน พิธีเสร็จสิ้นลงด้วยการเคลื่อนย้ายพระศพไปฝังที่วิหาร Santa Maria Maggiore Basilica ในกรุงโรม

พิธีพระศพสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญระดับโลก มีผู้เข้าร่วมจากกว่า 150 ประเทศและองค์การระหว่างประเทศ รวมถึงบุคคลสำคัญระดับสูงจากทั่วทุกมุมโลก อาทิ เชื้อพระวงศ์ ประมุขของรัฐ และหัวหน้ารัฐบาลจำนวนมาก เช่น สมเด็จพระราชาธิบดีและสมเด็จพระราชินีแห่งสเปน, เจ้าชายแห่งเวลส์, ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา, ประธานาธิบดีฝรั่งเศส, ประธานาธิบดีบราซิล, ประธานาธิบดีอาร์เจนตินา, ประธานาธิบดียูเครน, ประธานาธิบดีสาธารณรัฐฟิลิปปินส์, นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร, นายกรัฐมนตรีสวีเดน และนายกรัฐมนตรีฮังการี เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีประชาชนผู้ศรัทธาจำนวนมากถึงกว่า 2 แสนคน เข้าร่วมพิธีเพื่อถวายความอาลัยเป็นครั้งสุดท้าย

สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส พระสันตะปาปาองค์ที่ 266 แห่งคริสตจักรโรมันคาทอลิก สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2568 ณ ที่ประทับ Casa Santa Marta ในนครรัฐวาติกัน ด้วยพระชนมายุ 88 พรรษา ตลอดระยะเวลาที่ทรงดำรงตำแหน่ง พระองค์ทรงเป็นผู้นำทางศาสนาที่ได้รับการยอมรับและเคารพอย่างสูงจากประชาคมโลก ทรงอุทิศพระองค์อย่างไม่เหน็ดเหนื่อยในการส่งเสริมสันติภาพ ความเมตตา และการสร้างความปรองดอง จนได้รับการขนานนามว่า ‘พระสันตะปาปาของผู้ยากไร้’ พระองค์ยังคงปฏิบัติพระภารกิจจนถึงช่วงสุดท้ายของพระชนม์ชีพ โดยได้ประทานพรให้แก่ประชาชนที่จัตุรัสเซนต์ปีเตอร์ในช่วงเทศกาลอีสเตอร์ เมื่อวันที่ 20 เมษายนที่ผ่านมา

ในส่วนของความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับนครรัฐวาติกัน สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส เคยเสด็จเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 20 – 23 พฤศจิกายน 2562 ซึ่งนับเป็นการเสด็จเยือนครั้งประวัติศาสตร์ โดยพระองค์ได้เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี รวมถึงเข้าเฝ้าสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก สร้างความปลาบปลื้มยินดีแก่พสกนิกรชาวไทย โดยเฉพาะคริสตศาสนิกชนเป็นอย่างยิ่ง

นอกจากเข้าร่วมพิธีสำคัญแล้ว ในช่วงวันที่ 25 เมษายน คณะผู้แทนพิเศษของรัฐบาลไทยยังได้เข้าเยี่ยมคารวะพระคาร์ดินัลฟรังซิสเซเวียร์ เกรียงศักดิ์ โกวิทวาณิช ณ นครรัฐวาติกันด้วย

ภารกิจการเดินทางไปร่วมพิธีพระศพในครั้งนี้ คณะผู้แทนพิเศษของรัฐบาลไทยได้รับการอำนวยความสะดวกอย่างดียิ่งจากทางการนครรัฐวาติกัน โดยมีผู้แทนมารับที่สนามบิน และมีรถตำรวจนำขบวน ตลอดการเดินทาง ถือเป็นการแสดงถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศและสองศาสนา