ราคาทองไทยวันนี้: บาทอ่อนค่าหนุน! YLG ชี้เด้งสั้น, ฮั่วเซ่งเฮงเตือนระวังปรับฐานลึก
ราคาทองคำในประเทศวันนี้ปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อย รับอานิสงส์เงินบาทที่อ่อนค่า ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านทองคำอย่าง YLG มองมีโอกาสดีดตัวระยะสั้น แต่ ห้างขายทองฮั่วเซ่งเฮง กลับเตือนให้ระวังการปรับฐานลงลึกกว่าที่คาดไว้ แนะกลยุทธ์รอซื้อสะสมอย่างระมัดระวัง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การเคลื่อนไหวของราคาทองคำประจำวันที่ 13 พฤษภาคม 2568 เป็นไปตามที่สมาคมค้าทองคำประกาศราคาครั้งที่ 1 โดยมีการปรับเพิ่มขึ้น 100 บาทต่อบาททองคำ ส่งผลให้ทองคำแท่งขายออกอยู่ที่ 51,100 บาท รับซื้อที่ 51,000 บาท ส่วนทองรูปพรรณขายออก 51,900 บาท และรับซื้อที่ 50,088.64 บาท สำหรับราคาทองในตลาดโลกอยู่ที่ 3,229 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทไทยอยู่ที่ 33.42 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
นางสาวเบญจมา มาอินทร์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) เปิดเผยถึงปัจจัยที่ทำให้ราคาทองคำในประเทศฟื้นตัวในระยะสั้นว่า เนื่องจากราคาทองคำในตลาดโลกเมื่อวานนี้ (12 พฤษภาคม) ไม่หลุดแนวรับสำคัญในระยะกลางที่ระดับ 3,201 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ประกอบกับเงินบาทไทยที่อ่อนค่าลงจากเมื่อวาน จึงช่วยพยุงและหนุนให้ราคาทองคำในประเทศปรับตัวดีดขึ้นได้
สำหรับแนวโน้มราคาทองคำวันนี้ YLG ประเมินว่ายังมีโอกาสดีดตัวระยะสั้น โดยให้แนวต้านสำคัญที่ต้องจับตาบริเวณ 3,260-3,311 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือเทียบเท่าราคาในประเทศที่ 51,600-52,400 บาทต่อบาททองคำ ซึ่งเป็นจุดที่นักลงทุนอาจพิจารณาขายทำกำไร อย่างไรก็ตาม YLG เตือนว่า หากราคาทองคำในตลาดโลกกลับไปหลุดแนวรับบริเวณ 3,207-3,201 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือเทียบเท่าราคาในประเทศที่ 50,600 บาทต่อบาททองคำ แนะนำให้ชะลอการเข้าซื้อออกไปก่อน เนื่องจากมีโอกาสที่ราคาทองคำจะปรับฐานในระยะกลางในรูปแบบที่ลึกขึ้นได้
ด้าน บริษัท ห้างขายทองฮั่วเซ่งเฮง จำกัด ให้มุมมองในบทวิเคราะห์ Daily Recap Gold Spot ประจำวันที่ 13 พฤษภาคม 2568 ว่า ราคาทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยได้รับแรงเทขายอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา แตะระดับ 3,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยราคาทองในตลาดโลกลดลงถึง 90 ดอลลาร์ ขณะที่เงินดอลลาร์สหรัฐกลับมาแข็งค่าขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ปัจจัยที่กดดันราคาทองคำส่วนหนึ่งมาจากการที่ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวขึ้นแรง เนื่องจากนักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าโลก หลังจากสหรัฐอเมริกาและจีนสามารถบรรลุข้อตกลงการค้าชั่วคราวได้สำเร็จ โดยทั้งสองประเทศตกลงปรับลดอัตราภาษีศุลกากรฝ่ายละ 115% เป็นระยะเวลา 90 วัน ซึ่งจะทำให้อัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ จากจีนลดลงเหลือ 30% (จากเดิม 145%) และอัตราภาษีนำเข้าของจีนจากสหรัฐฯ ลดลงเหลือ 10% (จากเดิม 125%)
อย่างไรก็ดี ฮั่วเซ่งเฮง ระบุว่า กองทุน SPDR ซึ่งเป็นกองทุน ETF ทองคำที่ใหญ่ที่สุดในโลก กลับมาซื้อทองคำสุทธิ 1.15 ตัน เมื่อวานนี้ (12 พฤษภาคม) หลังจากที่ขายออกไปถึง 6.37 ตันในสัปดาห์ก่อนหน้า นอกจากนี้ นักลงทุนยังคงต้องติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญจากสหรัฐฯ ในคืนวันนี้ (13 พฤษภาคม) คือ ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (CPI) และดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (Core CPI) ประจำเดือนเมษายน 2568 ซึ่งจะส่งผลต่อทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)
ฮั่วเซ่งเฮง วิเคราะห์ว่า ราคาทองคำในตลาดโลกที่ปรับฐานลงมา อาจยังมี Downside หรือโอกาสปรับลงอีกพอสมควร โดยในสัปดาห์นี้ประเมินว่าทองคำอาจลงไปทดสอบแนวรับที่ 3,240 และ 3,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ตามลำดับ แม้ระดับ 3,200 ดอลลาร์จะเป็นแนวรับสำคัญ แต่มีโอกาสที่จะหลุดลงไปได้ โดยมีแนวรับถัดไปที่ 3,150 ดอลลาร์ ซึ่งฮั่วเซ่งเฮงมองว่า การคลี่คลายของความขัดแย้งในหลายจุด รวมถึงสงครามภาษีที่มีท่าทีผ่อนคลายลง อาจทำให้เป้าหมายการลงปรับฐานรอบนี้ลึกกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้า
ดังนั้น ฮั่วเซ่งเฮง จึงแนะนำใช้กลยุทธ์เชิงรับในการเข้าซื้อสะสม โดยมองแนวรับสำหรับราคาทองคำตลาดโลกที่ 3,200 และ 3,150 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 3,275 และ 3,330 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับราคาทองคำในประเทศ ฮั่วเซ่งเฮงยังคงมองว่ามีแนวโน้มพักฐานต่อ จึงยังคงแนะนำใช้กลยุทธ์เชิงรับรอเข้าซื้อสะสม โดยมองแนวรับสำคัญที่ 48,500-47,000 บาท และประเมินแนวรับสุดท้ายที่อาจเป็นจุดต่ำสุดของการปรับฐานรอบนี้ที่ 45,000 บาท หากปัจจัยบวกต่อทองคำอย่างความขัดแย้งต่างๆ และสงครามภาษียังคงคลี่คลายต่อเนื่อง ขณะที่แนวต้านสำหรับทองคำในประเทศอยู่ที่บริเวณ 51,150 และ 51,500 บาท