ราคาทองคำไทยพุ่งแรงตั้งแต่ต้นปี ออสสิริสคาด 6-12 เดือนทะลุ 60,000 บาท ปัจจัยเสี่ยงโลกหนุน

บริษัท ออสสิริส จำกัด เผยแนวโน้มราคาทองคำไทยตั้งแต่ต้นปี 2568 มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญกว่า 12,250 บาทต่อบาททองคำ สะท้อนถึงความผันผวนและปัจจัยบวกที่ยังคงสนับสนุนตลาดทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ในระยะ 6-12 เดือนข้างหน้าราคาทองคำไทยมีโอกาสพุ่งขึ้นไปทดสอบระดับ 55,000-60,000 บาทต่อบาททองคำได้

นายพีระพงศ์ วิริยะนุเคราะห์ นักวิเคราะห์การลงทุนทอง บริษัท ออสสิริส จำกัด เปิดเผยว่า ในสัปดาห์ที่ผ่านมา (21-26 เมษายน) ราคาทองคำในตลาดโลกมีความผันผวนสูงมาก โดยทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 3,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ และจุดต่ำสุดที่ 3,260 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ มีความผันผวนถึง 240 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ขณะที่ราคาทองคำแท่งในประเทศทำจุดสูงสุดที่ 54,800 บาท และทองรูปพรรณ 55,600 บาท ก่อนจะปรับตัวลดลงช่วงท้ายสัปดาห์ ด้วยความผันผวนสูงถึง 2,000 บาท

“ปีนี้ถือว่าราคาทองคำในตลาดโลกเพิ่มขึ้นมากกว่า 30% หรือกว่า 886 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ นับจากต้นปีที่ราคาต่ำสุดอยู่ที่ 2,614 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ และล่าสุดทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 3,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ส่วนราคาทองคำแท่งของไทย ขายออกสูงสุดที่ 54,800 บาท ปรับตัวขึ้นเกือบ 12,250 บาท นับตั้งแต่ต้นปีที่ราคาต่ำสุดที่ 42,550 บาท” นายพีระพงศ์ กล่าว

ปัจจัยหลักที่ผลักดันราคาทองคำให้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง มาจากความกังวลของนักลงทุนที่ยังคงเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) จากหลายปัจจัย ได้แก่ ความตึงเครียดจากมาตรการภาษีระหว่างสหรัฐกับจีน ซึ่งเพิ่มความกังวลเกี่ยวกับการเติบโตของเศรษฐกิจทั่วโลก นอกจากนี้ สงครามและความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงดำเนินอยู่ เช่น สถานการณ์ในตะวันออกกลางและรัสเซีย-ยูเครน ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่สร้างความไม่แน่นอนในตลาดโลก

สำหรับแนวโน้มราคาทองคำประจำสัปดาห์นี้ (28 เมษายน – 3 พฤษภาคม 2568) ยังคงต้องจับตาเหตุการณ์สำคัญที่มีผลต่อตลาด อาทิ การเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา ทั้งตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชน ดัชนีภาคการผลิต และตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตร รวมถึงอัตราการว่างงานเดือนเมษายน

นอกจากนี้ ประเด็นความคืบหน้าจากการรายงานว่า จีนอยู่ระหว่างพิจารณายกเลิกภาษี 125% สำหรับสินค้าบางรายการของสหรัฐฯ ที่สำคัญต่อจีน เช่น อุปกรณ์การแพทย์ สารเคมี และสัญญาเช่าเครื่องบิน ก็เป็นปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

ในเชิงเทคนิค นายพีระพงศ์ให้แนวรับหลักราคาทองคำในตลาดโลกที่ 3,285 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ และแนวรับถัดไปที่ 3,260 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ซึ่งเทียบได้กับราคาทองคำไทยประมาณ 52,000 บาทต่อบาททองคำ หากราคาทองคำหลุดแนวรับดังกล่าว อาจเกิดการพักตัวใหญ่และมีโอกาสปรับตัวลงไปที่ 3,200 หรือ 3,120 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ซึ่งจะตรงกับราคาทองไทยประมาณ 50,500 บาทได้ นักลงทุนจึงควรระมัดระวัง

แต่หากราคาทองคำยังคงประคองตัวอยู่เหนือระดับ 3,285 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือไม่หลุด 3,260 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ก็ยังมีโอกาสที่ราคาจะปรับขึ้นไปทดสอบระดับ 3,300 และ 3,400 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ได้อีกครั้ง การจะกลับมาเป็นแนวโน้มขาขึ้นที่ชัดเจน ต้องผ่านแนวต้านสำคัญที่ 3,370 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ซึ่งเป็นเส้นค่าเฉลี่ย 20 วัน หรือราคาทองไทยที่ประมาณ 53,000 บาท หากผ่านไปได้ มีโอกาสเห็นการปรับขึ้นไปที่ 3,412-3,450 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์

สำหรับนักลงทุนระยะยาว นายพีระพงศ์ให้คำแนะนำว่า หากราคาทองคำไทยปรับตัวต่ำกว่า 51,000 บาทต่อบาททองคำ สามารถทยอยซื้อสะสมได้ และหากราคาปรับลงมาบริเวณ 47,000-50,000 บาท ถือเป็นจังหวะที่ดีในการซื้อเก็งกำไรระยะยาว เนื่องจากมองว่าทองคำยังมีศักยภาพในแนวโน้มขาขึ้นในภาพใหญ่

โดยสรุป ออสสิริสเชื่อว่าในปลายปี 2568 ราคาทองคำไทยมีโอกาสทดสอบระดับ 55,000-60,000 บาทต่อบาททองคำในระยะเวลา 6-12 เดือนข้างหน้า ปัจจัยหนุนมาจากความไม่แน่นอนของสงครามการค้าและนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ที่อาจกลับมา ความเสี่ยงเงินเฟ้อที่อาจพุ่งสูงขึ้นจากต้นทุนสินค้านำเข้า โอกาสที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย ความต้องการซื้อทองคำของธนาคารกลางทั่วโลก รวมถึงความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่แม้จะชะลอตัวลงบ้าง แต่ก็ยังเป็นปัจจัยที่ทำให้ราคาทองคำมีแนวโน้มชะลอเพื่อไปต่อในทิศทางขาขึ้นระยะกลางถึงระยะยาว

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *