ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภค เม.ย. ร่วงหนักสุดรอบ 7 เดือน! หอการค้าชี้ “สงครามการค้า-การเมือง” ฉุดกำลังซื้อทั่วประเทศ

กรุงเทพฯ – หอการค้าไทย เปิดเผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคประจำเดือนเมษายน 2568 พบว่าปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ สู่ระดับต่ำสุดในรอบ 7 เดือน นับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2567 สะท้อนภาพรวมกำลังซื้อและบรรยากาศทางเศรษฐกิจที่ยังคงซบเซา โดยมีปัจจัยลบสำคัญจากความกังวลต่อสถานการณ์สงครามการค้าโลก และความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศ

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทยภาพรวมเดือนเมษายน 2568 อยู่ที่ระดับ 48.3 ลดลงจาก 48.9 ในเดือนมีนาคม ขณะที่ดัชนีปัจจุบันอยู่ที่ 45.2 ลดลงจาก 45.6 และดัชนีในอนาคตอยู่ที่ 51.4 ลดลงจาก 52.3 ถือเป็นการปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่สองติดต่อกัน

สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคโดยเฉพาะนั้น ปรับตัวลดลงจาก 56.7 ในเดือนมีนาคม มาอยู่ที่ 55.4 ในเดือนเมษายน ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำที่สุดในรอบ 7 เดือนนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2567 เช่นเดียวกับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคด้านอื่นๆ ที่ปรับลดลงถ้วนหน้า ไม่ว่าจะเป็นดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม โอกาสในการหางานทำ และรายได้ในอนาคต

นายธนวรรธน์ ระบุถึงปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคธุรกิจ ได้แก่:

  • สถานการณ์สงครามการค้า: โดยเฉพาะที่เริ่มชัดเจนขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ ส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออก คาดการณ์ความเสียหายเบื้องต้นในเดือนเมษายนอยู่ที่ประมาณ 1.5-1.6 แสนล้านบาท ฉุดรั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยรวม
  • ความไม่แน่นอนทางการเมือง: ทั้งประเด็นข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี ความขัดแย้งทางการเมือง และสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับบุคคลสำคัญทางการเมือง ส่งผลให้ผู้บริโภคขาดความมั่นใจ ไม่กล้าตัดสินใจใช้จ่าย โดยเฉพาะสินค้าคงทนถาวร เช่น รถยนต์ บ้าน และการท่องเที่ยว
  • ราคาพืชผลทางการเกษตรหลัก: แม้บางรายการจะมีราคาดีขึ้นบ้าง แต่ภาพรวมราคาข้าว ยางพารา อ้อย มันสำปะหลัง ยังคงย่อตัวลงเมื่อเทียบกับปี 2567 ทำให้เม็ดเงินหมุนเวียนในภาคเกษตรลดลง
  • การขาดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ๆ: มาตรการบางอย่างถูกเลื่อนออกไป และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมคาดว่าจะออกมาในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ทำให้ตลาดยังขาดแรงส่ง

ปัจจัยลบเหล่านี้ส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคในภาพรวมลดลงอย่างชัดเจน ผู้ประกอบการจำนวนมากสะท้อนว่ายอดขายหายไป ส่งผลกระทบไปถึงดัชนีความสุขในการดำเนินชีวิตที่ปรับลดลงเช่นกัน ซึ่งดัชนีความเหมาะสมในการซื้อรถ ซื้อบ้าน หรือทำธุรกิจ SMEs ยังอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบหลายเดือน

นายธนวรรธน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ภาพรวมเศรษฐกิจในภูมิภาคต่างๆ ยังมีความกังวล โดยเฉพาะในเขตอุตสาหกรรมที่พึ่งพาการส่งออก แม้ภาคการท่องเที่ยวในบางพื้นที่ เช่น ภาคใต้ ยังดูดีอยู่บ้าง แต่ภาพรวมช่วงเทศกาลสงกรานต์หลายจังหวัดก็ไม่คึกคักเท่าที่คาด และนักธุรกิจยังมองว่าการลงทุนภาคเอกชนในปี 2568 อาจชะลอตัวต่อเนื่อง

จากสถานการณ์ดังกล่าว หอการค้าไทยเตรียมปรับลดคาดการณ์การเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ไทยปี 2568 อีกครั้งในสัปดาห์หน้า โดยคาดว่าจะอยู่ในช่วง 1.8-2.2% มีค่ากลางอยู่ที่ 2% ซึ่งต่ำกว่าการคาดการณ์เดิม

สิ่งที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิดในช่วงถัดไปคือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐว่าจะออกมาในรูปแบบใดและเมื่อใด ความเสี่ยงทางการเมืองโดยเฉพาะโอกาสในการยุบสภา ซึ่งจะส่งผลกระทบต่องบประมาณและการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ รวมถึงสถานการณ์ราคาพืชผลเกษตรและภาพรวมเศรษฐกิจที่ยังคงซึมตัว แม้ธนาคารแห่งประเทศไทยจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงแล้ว 2 ครั้ง

หอการค้าไทยมองว่า เพื่อดึงเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวในช่วงปลายปี รัฐบาลควรเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยอาจพิจารณาการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานแทนการแจกเงิน ซึ่งจะมีตัวคูณทางเศรษฐกิจสูงกว่าและสร้างการจ้างงานในพื้นที่ได้มากกว่า

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *