เงินวัดหายไปไหน? บทเรียนจากอดีตพระชั้นผู้ใหญ่ สู่ข้อเสนอ ‘สังคายนา’ ระบบบริหารเงินวัดให้โปร่งใส
จากกรณีที่อดีตพระเถระชั้นผู้ใหญ่รูปหนึ่ง ซึ่งเคยดำรงสมณศักดิ์ถึงชั้นธรรม เป็นอดีตเจ้าอาวาสพระอารามหลวง และอดีตเจ้าคณะภาค ถูกกล่าวหาว่ายักยอกเงินของวัดเข้าบัญชีส่วนตัวและนำไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง นับเป็นเหตุการณ์ที่น่าเศร้าสลดใจและบั่นทอนศรัทธาของพุทธศาสนิกชนเป็นอย่างยิ่ง
แม้ว่าที่ผ่านมาอดีตพระเถระรูปดังกล่าวจะเคยบำเพ็ญคุณประโยชน์นานัปการแก่พระศาสนาและสังคม แต่เมื่อมีการกระทำความผิดที่เข้าข่ายการละเมิดกฎหมาย ย่อมต้องเข้าสู่กระบวนการสอบสวนและดำเนินคดีตามหลักนิติธรรม ไม่มีข้อยกเว้นสำหรับผู้ใด
เหตุการณ์นี้เป็นบทเรียนสำคัญสำหรับคณะสงฆ์ไทย ในการที่จะต้องเร่งพิจารณาหาทางแก้ไข ปรับปรุง และวางระบบการบริหารจัดการเงินและทรัพย์สินของวัดให้มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ เพื่อให้เงินบริจาคและทรัพย์สินที่พุทธศาสนิกชนถวายมาด้วยความศรัทธา ยังคงเป็นสมบัติของวัดและของพระศาสนาอย่างแท้จริง ไม่รั่วไหลหรือถูกนำไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัวได้ง่าย
ปัญหาสำคัญประการหนึ่งที่มักเกิดขึ้น คือ การบริหารเงินบริจาคที่กระจุกตัวอยู่ในอำนาจการเบิกจ่ายของเจ้าอาวาส หรือกลุ่มบุคคลเพียงไม่กี่คนภายในวัด ซึ่งเปิดช่องให้เกิดการนำเงินไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม ดังที่ปรากฏเป็นข่าวอยู่เสมอในหลายวัด
ในความเป็นจริง สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (สพศ.) ได้มีข้อกำหนดให้วัดทุกวัดต้องจัดทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย และบัญชีทรัพย์สิน เพื่อให้ทราบฐานะการเงิน และเป็นประโยชน์ต่อการบริหารจัดการ การควบคุมภายใน และการตรวจสอบ อีกทั้งยังกำหนดรูปแบบบัญชีที่วัดต้องปฏิบัติตามไว้อย่างชัดเจน
ตามกฎหมายคณะสงฆ์ โดยเฉพาะกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2511 ออกตามความในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 ข้อ 6 กำหนดให้เจ้าอาวาสมีหน้าที่จัดให้มี ไวยาวัจกร หรือผู้จัดประโยชน์ของวัด ที่ได้รับการแต่งตั้งจากเจ้าอาวาส เป็นผู้จัดทำบัญชีรับจ่ายเงินของวัด และเมื่อสิ้นปีปฏิทิน เจ้าอาวาสต้องตรวจสอบดูแลบัญชีให้เรียบร้อยและถูกต้อง พร้อมจัดส่งให้ สพศ. ทุกปี
อย่างไรก็ตาม ยังคงมีวัดจำนวนมากทั่วประเทศที่ยังคงหละหลวมในการบริหารจัดการเงินและทรัพย์สินตามข้อกำหนดดังกล่าว บางวัดอาจไม่ทราบว่าต้องจัดทำบัญชี บางวัดไม่ได้ตรวจสอบบัญชี และบางวัดจัดทำบัญชีขึ้นเองโดยไม่ได้ใช้รูปแบบที่ สพศ. กำหนด ทำให้ข้อมูลทางการเงินไม่ถูกต้องและไม่สามารถตรวจสอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เพื่อแก้ไขปัญหานี้ มติมหาเถรสมาคม (มส.) ครั้งที่ 18/2558 ได้กำหนดให้มีการจัดอบรม ไวยาวัจกร ถวายคำแนะนำความรู้แก่เจ้าอาวาส และจัดพิมพ์หนังสือคู่มือการจัดการศาสนสมบัติของวัด โดยมีเป้าหมายให้ทุกวัดทั่วประเทศดำเนินการในรูปแบบเดียวกัน
นอกจากนี้ เมื่อปี พ.ศ. 2560 สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (กพร.) ก็ได้ร่วมกับ สพศ. พัฒนารูปแบบบัญชีรายรับรายจ่ายอย่างง่ายขึ้น เพื่อให้วัดสามารถจัดทำรายงานการเงินที่ถูกต้องและครบถ้วนได้จริง ซึ่งประกอบด้วยเอกสาร 6 ส่วนหลัก เช่น สมุดบัญชีรายรับรายจ่ายรายวัน, สมุดบัญชีเงินฝาก, สมุดบัญชีแยกรายรับ-รายจ่าย, และรายงานงบการเงินประจำปี
กระนั้นก็ตาม ปัญหาที่ยังคงพบเห็นและเป็นอุปสรรคคือ พฤติกรรมของชาวบ้านจำนวนมากที่มักถวายเงินจำเพาะเจาะจงให้กับเจ้าอาวาสเป็นการส่วนตัว โดยไม่ได้ระบุว่าเป็นการถวายเพื่อบำรุงวัด ทำให้เกิดความสับสนและลักลั่นระหว่างเงินส่วนตัวของเจ้าอาวาสกับเงินของวัด ซึ่งคณะสงฆ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องเร่งออกแนวปฏิบัติที่ชัดเจนในเรื่องนี้เป็นการด่วน เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องและป้องกันปัญหาในอนาคต
การสร้างระบบการเงินวัดที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ ไม่เพียงแต่เป็นการปฏิบัติตามกฎระเบียบ แต่ยังเป็นการรักษาความเชื่อมั่นและความศรัทธาของพุทธศาสนิกชน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการดำรงอยู่ของพระศาสนา