ททท.จ่อปรับลดเป้าหมาย นทท.ต่างชาติปี 68 เหตุนักท่องเที่ยวจีนลดฮวบ 30% พร้อมเตรียมอัดงบ 2 พันล้าน คิกออฟ ‘เที่ยวไทยคนละครึ่ง’ มิ.ย.นี้

ททท. จ่อลดเป้า นทท.ต่างชาติ หลังตลาดจีนฮวบ 30% เตรียมอัดงบ 2 พันล้าน คิกออฟ เที่ยวไทยคนละครึ่ง มิ.ย.นี้

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ยอมรับมีแนวโน้มสูงที่จะต้องปรับลดเป้าหมายจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2568 ลงจากเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ 37.46 ล้านคน และรายได้รวม 3.4 ล้านล้านบาท โดยคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติอาจลดลงเหลือ 35.54 ล้านคน เท่า ๆ กับปีที่แล้ว ส่วนนักท่องเที่ยวจีนคาดจะเข้ามาเพียง 4 ล้านคน จากข้อมูลที่เปิดเผยในงานเสวนาโครงการตลาดทุนพบภาครัฐ ครั้งที่ 3/2568 “ททท.พบนักวิเคราะห์และนักลงทุนสถาบัน” จัดโดยสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคมที่ผ่านมา

นายธีระศิลป์ เทเพนทร์ รองผู้ว่าการด้านนโยบายและแผน ททท. กล่าวว่า หลังจากช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-เม.ย.) พบว่านักท่องเที่ยวในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือลดลง 20% โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลงถึง 30% ส่งผลให้ภาพรวมจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติติดลบอยู่ 0.2% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน

สาเหตุที่นักท่องเที่ยวจีนและเอเชียลดลง

ปัจจัยลบที่กระทบต่อการเดินทางท่องเที่ยวในไทยในปีนี้ ได้แก่:

  1. ภาพลักษณ์ความไม่ปลอดภัยของไทย: เหตุการณ์ต่างๆ เช่น การลักพาตัวซิงซิง, การประกอบธุรกิจของจีนเทา, กระแสข่าวการขโมยอวัยวะไปขาย ที่ยังปรากฏในสื่อของจีน รวมถึงประเด็นแผ่นดินไหว-ตึกถล่ม ล้วนส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของนักท่องเที่ยวจีน ไต้หวัน ฮ่องกง และเกาหลีใต้ ทำให้มีแนวโน้มเดินทางน้อยลง
  2. การแข่งขันสูงในเอเชีย: ประเทศคู่แข่ง เช่น ญี่ปุ่น จีน เวียดนาม เกาหลีใต้ ลาว ฮ่องกง ไต้หวัน และสิงคโปร์ มีการส่งเสริมการท่องเที่ยวที่แข็งขัน รวมถึงการให้วีซ่าฟรีแก่นักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติ ซึ่งดึงส่วนแบ่งตลาดนักท่องเที่ยวไป
  3. ผลกระทบภัยธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม: ปัญหามลพิษหมอกควันและฝุ่น PM 2.5 ทำให้กลุ่มนักท่องเที่ยวที่ใส่ใจสุขภาพและกลุ่มครอบครัวที่มีเด็กเล็กหลีกเลี่ยงการเดินทาง

นายธีระศิลป์ เสริมว่า นักท่องเที่ยวจีนที่ยังเข้ามาเที่ยวไทยส่วนใหญ่จะเป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางด้วยตัวเอง (FIT) ส่วนกลุ่มที่หายไปคือกลุ่มทัวร์จีนจากเมืองรอง

ตลาดระยะไกลยังเติบโตดี – แผนกระตุ้นท่องเที่ยวของ ททท.

อย่างไรก็ตาม ในช่วง 4 เดือนแรกปีนี้ ตลาดนักท่องเที่ยวระยะไกลจากฝั่งยุโรปกลับมีการเติบโตสูงถึง 16% ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีการใช้จ่ายต่อหัวสูงและพักนาน (15-20 วัน) โดยมักใช้จ่ายในกลุ่มเวลเนส

สำหรับแผนการดำเนินงานของ ททท. ในปีนี้ เพื่อรับมือกับสถานการณ์และกระตุ้นการท่องเที่ยว ประกอบด้วย:

  1. รักษาและฟื้นฟูตลาดจีน: แก้ไขภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัยและเร่งฟื้นฟูความเชื่อมั่น โดยเน้นการสื่อสารผ่านโซเชียลมีเดีย กระตุ้นการเดินทางแบบกรุ๊ปทัวร์ (Charter Flight, Incentive Group จากเมืองรอง) และกลุ่ม FIT ร่วมกับ OTA/บริษัทนำเที่ยว โดยเน้นกลุ่มครอบครัวและ Millennial รวมถึงสนับสนุนโครงการเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ไทย-จีน 50 ปี
  2. จัดหาตลาดทดแทน (Relocation): เพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวคุณภาพ (Quality Leisure, Family, Incentive) ในตลาดระยะใกล้ 9 ตลาด และระยะไกล 15 ตลาด โดยเฉพาะเอเชียใต้และอาเซียนบางประเทศที่มีการเติบโตสูง เช่น อินโดนีเซีย, ฟลิปปินส์, สิงคโปร์, อินเดีย, ศรีลังกา และกลุ่มประเทศยุโรป
  3. ขยายตลาดกลุ่ม High Value: มุ่งเน้นกลุ่มที่มีการใช้จ่ายสูง เช่น Health and Wellness, Yacht, Sport, Digital Nomad โดยเฉพาะจากตะวันออกกลาง อินเดีย และยุโรป
  4. สื่อสาร 360 องศาและจัดอีเวนต์: โปรโมทผ่านช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ พร้อมจัดกิจกรรมเทศกาล ดนตรี กีฬา และวัฒนธรรมตลอดปี

คิกออฟ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” มิ.ย.นี้ – งบ 2 พันล้านบาท

สำหรับตลาดในประเทศ ททท. จะเน้นกระจายรายได้สู่เมืองรอง ส่งเสริมการเดินทางวันธรรมดา และสื่อสารภาพลักษณ์ “สุขทันทีที่เที่ยวไทย”

โครงการสำคัญที่จะคิกออฟคือ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” ซึ่งจะดำเนินการในช่วงเดือนมิถุนายน 2568 ไปจนถึงเดือนกันยายน หรือเดือนตุลาคม ครอบคลุมช่วงหน้าฝนและปิดเทอม โดย ททท. จะเป็นหน่วยงานรับงบประมาณ ประมาณ 2,000 ล้านบาท เพื่อดำเนินการ

โครงการนี้กำหนดเบื้องต้นจะให้สิทธิทั้งหมด 6 แสนสิทธิ โดยนักท่องเที่ยวไทยที่เข้าพักวันธรรมดาจะได้ราคาที่ดีกว่าการเที่ยววันหยุด และรัฐจะเข้าไปซับซิไดซ์ให้มากกว่า เพื่อกระตุ้นการเดินทางในวันที่มีความหนาแน่นน้อย

เพื่อป้องกันการอัพราคาค่าห้องและการฉ้อโกง จะมีการออกกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดขึ้นกำกับดูแลโครงการนี้ โดยอิงจากปัญหาที่เคยเกิดขึ้นในโครงการลักษณะเดียวกันในอดีต

ประเด็นที่ต้องติดตามต่อ

ปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวไทยในปีนี้และต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ได้แก่:

  1. ปัญหาสงครามการค้า (Trade War) ระหว่างสหรัฐกับจีน รวมถึงความขัดแย้งระหว่างอินเดียและปากีสถาน
  2. ผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐอเมริกา
  3. การเรียกคืนความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยของไทย โดยต้องป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เชิงลบเกิดขึ้นซ้ำ
  4. ปัญหาภัยพิบัติและภัยธรรมชาติ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *