คดีฮั้วเลือก สว. พลิกเกม! ‘เจ๊แมว’ ทิ้งบอมบ์ ซัดนักการเมืองใหญ่เบื้องหลัง ‘ณฐพร’ ยื่นยุบพรรค โยง ม.49

สถานการณ์ร้อนระอุในแวดวงการเมืองไทยทวีความเข้มข้นขึ้นอีกครั้ง เมื่อคดีที่เกี่ยวข้องกับการล็อกสเปกหรือฮั้วการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ถูกยกระดับสู่จุดที่ไม่อาจมองข้ามได้ หลัง ‘เจ๊แมว’ กุสุมาลวตี ศิริโกมุท สว.สำรอง ออกมาเปิดโปงข้อมูลที่น่าตกใจ

กุสุมาลวตี ศิริโกมุท ได้ออกมากล่าวหาอย่างชัดเจนว่า มีนักการเมืองระดับ ‘หัวหน้าพรรค’ และ ‘อดีตรัฐมนตรีช่วย’ อยู่เบื้องหลังขบวนการจัดทำ ‘โพยฮั้ว’ ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่จังหวัดอำนาจเจริญ เธอระบุว่าขบวนการนี้ไม่ได้มีแค่ความไม่โปร่งใสธรรมดา แต่เป็น ‘ระบบ’ ที่คนบางพรรคสามารถกำหนดเกมล่วงหน้าได้เลยว่าใครจะได้เป็น สว. และใครจะเป็นเพียงผู้ลงคะแนน (โหวตเตอร์) เท่านั้น

พร้อมกันนี้ เธอยืนยันว่ามีหลักฐานที่แน่นหนา ไม่ว่าจะเป็นคลิปเสียงการสนทนา ภาพถ่าย และข้อมูลการติดต่อสื่อสารผ่านแอปพลิเคชันไลน์ ซึ่งหลักฐานทั้งหมดได้ถูกส่งมอบให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว ทั้งคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) อัยการ และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) โดยหลักฐานเหล่านี้สามารถระบุวัน เวลา และสถานที่ได้อย่างชัดเจน

ในจังหวะที่ข่าวการเปิดโปงของ ‘เจ๊แมว’ กำลังเป็นที่จับตา ‘นักร้องรุ่นใหญ่’ อย่าง ณฐพร โตประยูร ก็ได้ยื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุด ขอให้พิจารณาส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อวินิจฉัยให้ ‘ยุบพรรค’ และถอดถอนกรรมการบริหารพรรค นักการเมือง และ สว. ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการฮั้วดังกล่าว

คำร้องของนายณฐพร อ้างอิงพฤติการณ์ที่เข้าข่ายเป็นการกระทำเพื่อล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามมาตรา 49 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

ข้อมูลที่นายณฐพรนำมาใช้เป็นเหตุผลในการยื่นคำร้อง นอกจากข้อมูลข่าวสารจากสื่อมวลชนแล้ว ยังสำคัญคือพยานหลักฐานที่ได้จากการสืบสวนสอบสวนร่วมกันของดีเอสไอและ กกต. ซึ่งมีการรวบรวมมาจากหลายส่วน ไม่ว่าจะเป็นพยานบุคคล พยานแวดล้อม พยานผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ การตรวจสอบข้อมูลธุรกรรมทางการเงินของผู้เกี่ยวข้องในขบวนการกว่า 12,000 คน ข้อมูลการใช้โทรศัพท์ของกว่า 20,000 เลขหมาย การนำกลุ่มพยานในที่เกิดเหตุนำชี้พื้นที่จริงในจุดต่างๆ รวมถึงการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) มาใช้จำลองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่มีการเลือก

หลักฐานและข้อมูลเหล่านี้ได้ฉายภาพให้เห็นถึงกระบวนการทำงานของผู้ร่วมขบวนการอย่างเป็นระบบ มีการแบ่งหน้าที่กันทำเป็นขั้นเป็นตอน ตั้งแต่การวางแผนในเบื้องต้น การลงมือปฏิบัติในระดับประเทศ ความเชื่อมโยงกับผู้มีอำนาจ จนนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ทำให้ได้มาซึ่ง สว. จำนวน 138 คน และ สว.สำรองอีก 2 คน โดยในเอกสารคำร้องของนายณฐพร ได้มีการระบุชื่อ ตำแหน่ง ทั้งในรัฐบาล ในสภา และในพรรคการเมือง ของบุคคลที่ถูกกล่าวหาไว้อย่างชัดเจน

สถานการณ์ในครั้งนี้กำลังถูกนำไปเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ในอดีตเมื่อปี พ.ศ. 2550 ซึ่งพรรคไทยรักไทยถูกวินิจฉัยให้ยุบพรรค และคณะกรรมการบริหารพรรคถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง จากการละเมิดกฎหมายเลือกตั้ง

สำหรับคดีฮั้ว สว. นี้ หากผลการสอบสวนชี้ชัดว่าผู้บริหารพรรคการเมืองใดรับรู้ เห็นชอบ หรืออยู่เบื้องหลังขบวนการดังกล่าว โทษสูงสุดที่อาจเกิดขึ้นคือการ ‘ยุบพรรค’ และการตัดสิทธิ์ทางการเมืองของกรรมการบริหารพรรคและบุคคลอื่นๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง

นอกจากนี้ ยังมีคดีอาญาในข้อหาฟอกเงินและอั้งยี่ที่อยู่ในความดูแลของดีเอสไอ ซึ่งมีรายงานว่ามีความคืบหน้าไปมากแล้วเช่นกัน สถานการณ์นี้จึงถือเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย ที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิดว่าบทสรุปจะเป็นอย่างไร

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *