สนธิญา ยื่น ป.ป.ช. สอบ ‘พีระพันธุ์’ ปม ‘DNA บิ๊กตู่’ และถือหุ้นบริษัท ส่อขัดรัฐธรรมนูญ-จริยธรรมร้ายแรง

กรุงเทพฯ – เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 23 เมษายน 2568 ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายสนธิญา สวัสดี ได้เข้ายื่นคำร้องขอให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงและวินิจฉัยการกระทำของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ

นายสนธิญา ระบุว่า การยื่นคำร้องครั้งนี้มี 2 ประเด็นหลักที่ได้รับเอกสารจากประชาชนและมีความกังวลใจ ประกอบด้วย

ประเด็นที่ 1: การกล่าวอ้างถึง ‘DNA’ ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

นายสนธิญา กล่าวถึงกรณีที่นายพีระพันธุ์ได้มีการกล่าวถึง ‘DNA’ ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา องคมนตรี ในหลายโอกาส รวมถึงในสื่อสังคมออนไลน์ของพรรครวมไทยสร้างชาติ การกระทำดังกล่าว ตนมองว่าอาจเข้าข่ายขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ มาตรา 12 ซึ่งระบุว่า องคมนตรีเป็นผู้ที่อยู่เหนือการเมือง และไม่สามารถเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมืองหรือพรรคการเมืองได้ แม้จะมีความรัก เคารพ หรือนับถือเป็นการส่วนตัวเพียงใดก็ตาม การดึงองคมนตรีเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมือง หากยังคงกระทำเช่นนี้ต่อไป ถือเป็นการกระทำที่ขัดต่อเจตนารมณ์และบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน

ประเด็นที่ 2: การถือครองหุ้นใน 3 บริษัท หลังรับตำแหน่ง

นายสนธิญา ได้ยื่นเอกสารประกอบการพิจารณา ซึ่งอ้างว่านายพีระพันธุ์ยังคงมีชื่อเป็นกรรมการบริหาร และมีส่วนร่วมในการพิจารณาหรือตัดสินใจ รวมถึงมีการถือหุ้นใน 3 บริษัทเอกชน ในสัดส่วนที่แตกต่างกัน คือ มากกว่า 70%, 77% และ 10%

ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 (4) มาตรา 160 (5) และมาตรา 179 (9) กำหนดให้ผู้ที่ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในฝ่ายบริหาร เช่น รองนายกรัฐมนตรี จะต้องลาออกจากตำแหน่งกรรมการบริหารในบริษัทเอกชน หรือดำเนินการโอนหุ้นให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด ก่อนที่จะเข้ารับตำแหน่ง การตรวจสอบเบื้องต้นของตน พบว่า บางบริษัทยังคงมีชื่อนายพีระพันธุ์ดำรงตำแหน่งอยู่

นายสนธิญา หวังว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. จะเร่งทำการตรวจสอบและวินิจฉัยในทั้งสองประเด็นนี้อย่างละเอียดและชัดเจน หากผลการตรวจสอบพบว่านายพีระพันธุ์ยังไม่ได้ดำเนินการลาออกจากตำแหน่งกรรมการบริหารในบริษัทเอกชน หรือการถือครองหุ้นไม่เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด การกระทำดังกล่าวอาจเข้าข่ายเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และอาจถือเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ซึ่งเป็นไปตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 219

การยื่นคำร้องของนายสนธิญาในครั้งนี้จึงเป็นการจุดประเด็นที่ต้องจับตาดูว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. จะมีคำวินิจฉัยต่อกรณีของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค อย่างไรต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฐานะผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญทั้งในฝ่ายบริหารและหัวหน้าพรรคการเมือง

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *