ผู้ว่าฯ ธปท. ชี้เศรษฐกิจไทยเจอ ‘พายุยาวนาน’ จุดต่ำสุดไม่พ้น Q4/68 ห่วงสินค้าทะลัก-ตลาดเงินผันผวน

นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงมุมมองเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน โดยยอมรับว่า สถานการณ์มีความไม่แน่นอนสูงมาก เปรียบเสมือน ‘พายุ’ ที่กำลังก่อตัว ซึ่งคาดการณ์ว่าจะใช้เวลานานและไม่จบลงง่าย ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐอเมริกาที่ยังมีความไม่ชัดเจนหลายด้าน

ผู้ว่าการ ธปท. ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยมีโอกาสที่จะเติบโตในลักษณะ ‘V ขากว้าง’ ในอนาคต แต่ในระยะสั้นยังต้องเผชิญความท้าทาย โดยเฉพาะผลกระทบจากพายุดังกล่าว ที่คาดว่าจะเริ่มเห็นผลกระทบหนักจริงในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 และจุดต่ำสุดของเศรษฐกิจไทยในรอบนี้ อาจจะไม่เกิดขึ้นเร็วกว่าไตรมาส 4 ปี 2568 อย่างแน่นอน

สำหรับเครื่องมือนโยบาย ทั้งนโยบายการเงินและการคลัง ผู้ว่าการ ธปท. ยอมรับว่ามีจำกัด จึงต้องใช้ด้วยความระมัดระวังและตรงจุด พร้อมระบุว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 2 ครั้งติดต่อกันในช่วงที่ผ่านมา น่าจะเพียงพอที่จะรองรับกับสถานการณ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นแล้วในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ ก็พร้อมที่จะพิจารณาปรับเปลี่ยนนโยบายตามความเหมาะสม

นายเศรษฐพุฒิ ยังได้แสดงความกังวลต่อบางมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่อาจไม่ตรงจุด เช่น การเน้นกระตุ้นการบริโภค ซึ่งอาจส่งผลดีต่อสินค้านำเข้ามากกว่าสินค้าในประเทศ โดยสิ่งที่น่ากังวลในขณะนี้คือ ปัญหา ‘สินค้าทะลัก’ เข้ามาในไทย ซึ่งจำเป็นต้องใช้มาตรการที่เหมาะสมมารองรับ เช่น มาตรการทางการค้า หรือการบังคับใช้มาตรฐานสินค้า ขณะเดียวกัน สิ่งที่ควรเร่งทำคือ การแก้ไขกฎระเบียบและอุปสรรคในการลงทุน

ในส่วนของโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ผู้ว่าการ ธปท. ย้ำจุดยืนเดิมว่า ต้องพิจารณาถึงความคุ้มค่าและประสิทธิผลให้ดี โดยสถานการณ์ปัจจุบันที่มีความท้าทายใหม่ ๆ และปัญหาสินค้าทะลัก เป็นอีกเหตุผลที่ควรนำมาทบทวนความเหมาะสมของโครงการนี้

ผลกระทบจาก ‘พายุ’ รอบนี้ คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อผู้ส่งออกไทยที่เกี่ยวข้องกับภาษีสหรัฐฯ โดยตรง เช่น กลุ่มไฟฟ้า อาหารแปรรูป เครื่องจักร รวมถึงกลุ่มที่อยู่ในซัพพลายเชนที่เชื่อมโยงไปยังสหรัฐฯ นอกจากนี้ ยังมีความห่วงใยเป็นพิเศษต่อกลุ่มอุตสาหกรรมที่จะได้รับผลกระทบจากการที่สินค้านำเข้าทะลักเข้ามา เช่น เครื่องนุ่งห่มและสิ่งทอ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นธุรกิจ SME ในประเทศและมีการจ้างงานจำนวนมาก

ผู้ว่าการ ธปท. ยืนยันว่า แม้พายุรอบนี้จะมีผลระยะยาว แต่คาดว่าความรุนแรงจะไม่เท่ากับวิกฤติครั้งก่อน ๆ เช่น วิกฤติปี 2540 หรือวิกฤติการเงินโลกปี 2551 อย่างไรก็ตาม การปรับตัวของภาคส่วนต่าง ๆ เป็นสิ่งสำคัญมาก หากไทยไม่ปรับตัว อาจทำให้เศรษฐกิจเติบโตได้ต่ำกว่าศักยภาพในอดีต แต่หากใช้โอกาสนี้ในการปรับตัว เช่น การขยายตลาดใหม่ ๆ นอกเหนือจากสหรัฐฯ หรือการยกระดับประสิทธิภาพภาคบริการ ก็มีโอกาสที่จะทำให้เศรษฐกิจเติบโตได้สูงขึ้นได้

สำหรับมาตรการช่วยเหลือ ผู้ว่าการ ธปท. เน้นย้ำว่า ไม่ควรเป็นมาตรการแบบ ‘ปูพรม’ เพราะผลกระทบแตกต่างกันในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม ควรออกมาตรการที่แตกต่างกันไปตามลักษณะของแต่ละกลุ่มที่ได้รับผลกระทบ เช่น กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีบริษัทต่างชาติจำนวนมาก อาจมีการย้ายฐานการผลิตได้ หากภาษียังสูงกว่าประเทศอื่น ในขณะที่กลุ่มอาหารแปรรูปส่วนใหญ่เป็น SME ในประเทศและเชื่อมโยงกับภาคเกษตร ซึ่งการปรับตัวหรือย้ายฐานทำได้ยากกว่า ดังนั้นมาตรการช่วยเหลือจึงต้องแตกต่างกัน

ด้านตลาดการเงิน ผู้ว่าการ ธปท. ยอมรับว่ามีความผันผวนสูงมาก ซึ่ง ธปท. ยังคงดูแลอย่างต่อเนื่อง และพร้อมใช้มาตรการด้านการเงินที่มีอยู่ เช่น การให้สินเชื่อเป็นธรรม การปรับโครงสร้างหนี้ หรือออกมาตรการเพิ่มเติมหากจำเป็น โดยยืนยันหลักการว่ามาตรการต้องไม่เป็นแบบปูพรม

ส่วนประเด็นเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ผู้ว่าการ ธปท. มองว่าต้องพิจารณาหลายมิติ โดยเฉพาะเรื่องความถูกต้องตามกฎหมายและความ ‘ขาวสะอาด’ ซึ่งส่งผลต่อชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของประเทศ ตามที่สถาบันจัดอันดับอย่าง Moody’s ได้กล่าวถึงในรายงานล่าสุด โดยชี้ว่า หากเป็นเรื่องที่สร้าง ‘ภาพความเป็นเทา ๆ’ จะกลายเป็นความเสี่ยง แต่หากเน้นไปที่ศูนย์ Wellness ที่สร้างประโยชน์และมีผลข้างเคียงน้อยกว่า ก็จะเป็นผลดีกว่า

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *