ตลท. เดินหน้าแผนยุทธศาสตร์ใหญ่: ดึงบริษัทเทคโนโลยี/New Economy ดัน บจ. ทะลุ 1,500 พร้อมปรับโครงสร้างตลาดทุนรอบด้าน
กรุงเทพฯ – นายกิตติพงศ์ อุรพิพัฒนพงศ์ ประธาน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2568 ถึงแผนยุทธศาสตร์สำคัญในการยกระดับและสร้างเสถียรภาพให้กับตลาดทุนไทย โดยมีเป้าหมายหลักในการเพิ่มจำนวนบริษัทจดทะเบียน (บจ.) และดึงดูดธุรกิจกลุ่ม New Economy โดยเฉพาะธุรกิจเทคโนโลยีเข้าสู่ตลาดหุ้นให้มากขึ้น
ประธาน ตลท. กล่าวว่า ปัจจุบัน ตลท. มี บจ. อยู่ประมาณ 800 บริษัท ซึ่งถือว่ายังน้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนธุรกิจที่เสียภาษีในประเทศกว่า 100,000 ราย ดังนั้น ตลท. จึงตั้งเป้าหมาย ambitious ที่จะเพิ่มจำนวน บจ. ให้ได้สูงถึง 1,000 – 1,500 บริษัท เพื่อสะท้อนศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ
กลยุทธ์สำคัญในการบรรลุเป้าหมายดังกล่าวคือ การเร่งดึงบริษัทกลุ่ม New Economy ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี เนื่องจากมองว่าเป็นเครื่องยนต์ใหม่ที่จำเป็นต่อเศรษฐกิจไทย นอกจากนี้ ยังมีการหารือกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เพื่อพิจารณามอบสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมแก่นักลงทุนและบริษัทต่างชาติที่สนใจเข้ามาร่วมทุนและจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย อาจรวมถึงการใช้เงินกองทุน หรือเงินงบประมาณจากรัฐวิสาหกิจเข้ามาร่วมลงทุน รวมถึงการให้สิทธิประโยชน์ด้านภาษีเป็นแรงจูงใจ
สำหรับบริษัทไทย ตลท. สนับสนุนให้ บจ. ขนาดใหญ่พิจารณาแยกบริษัทลูก (Spin Off) ที่มีศักยภาพในธุรกิจใหม่ เช่น ธุรกิจยาของ ปตท. หรือธุรกิจเทคโนโลยีของ WHA เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยอาจมีการพิจารณาปรับปรุงเกณฑ์การรับ บจ. ใหม่กลุ่มนี้ หรืออาจมีแผนแยกกระดานซื้อขายสำหรับบริษัทกลุ่มนี้โดยเฉพาะ
ในส่วนของการยกระดับโครงสร้างตลาดทุน ตลท. มองว่าจำนวนบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ที่มีอยู่ 39 รายในปัจจุบันมีจำนวนมากเกินไป และหลายแห่งประสบปัญหาขาดทุน จึงต้องการสนับสนุนให้เกิดการควบรวมกิจการ เพื่อลดจำนวนลงเหลือประมาณ 18 ราย โดยเน้นการยกระดับคุณภาพงานบริการ โดยเฉพาะงานวิเคราะห์หลักทรัพย์
ประธาน ตลท. ยังได้กล่าวถึงความคืบหน้าของโครงการสำคัญต่างๆ เพื่อกระตุ้นการลงทุนและเพิ่มประสิทธิภาพตลาดทุน เช่น โครงการบัญชีการออมส่วนบุคคลในประเทศไทย (TISA) ที่เปิดโอกาสให้ประชาชนออมและลงทุนในหุ้นพร้อมรับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือกับ ก.ล.ต. ก่อนเสนอต่อกระทรวงการคลังและคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
นอกจากนี้ ยังมีโครงการ Jump+ เพื่อสนับสนุน บจ. ให้เพิ่มมูลค่า คาดว่าจะเริ่มในเดือนมิถุนายนนี้ โครงการ Bond Connect Platform เพิ่มการเข้าถึงการลงทุนในพันธบัตรสำหรับผู้ลงทุนบุคคล และโครงการ Carbon Credit Ecosystem เพื่อส่งเสริมธุรกิจเพื่อความยั่งยืนและเศรษฐกิจสีเขียว
ด้านการนำเทคโนโลยีมาใช้ ตลท. กำลังศึกษาและพิจารณาการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการกำกับการซื้อขายและการวิจัย ซึ่งอาจพิจารณาจ้างบริษัทภายนอกเข้ามาดูแลระบบ
ที่สำคัญคือการผลักดันแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุนในลักษณะ Omnibus Law เพื่อวางรากฐานการพัฒนาตลาด เช่น การพิจารณาโครงสร้างหุ้นสองระดับ (Dual-class share) เพื่อดึงดูดบริษัทขนาดใหญ่และธุรกิจครอบครัว รวมถึงการแก้ไขกฎหมายการซื้อหุ้นคืน (Treasury Stock) ซึ่งล่าสุดได้มีการผ่อนคลายเงื่อนไข เช่น ยกเลิกเงื่อนไขรอ 6 เดือนก่อนซื้อคืน และขยายเวลาขายหุ้นที่ซื้อคืนจาก 3 ปี เป็น 5 ปี (สามารถขอขยายได้ 1+1 ปี) ซึ่งส่งผลให้ในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ มี บจ. ซื้อหุ้นคืนแล้ว 37 บริษัท มูลค่ารวม 6 พันล้านบาท เทียบเท่ากับยอดรวมทั้งปี 2567
ประธาน ตลท. สรุปถึง 3 งานเร่งด่วนที่สุด คือ 1. ดึงบริษัทใหม่เข้ามาจดทะเบียนให้เร็วที่สุด 2. สร้างความเชื่อมั่นให้ บจ. ปัจจุบันผ่าน Jump+ เพื่อสะท้อนมูลค่าที่แท้จริง และ 3. ทำให้ผู้ลงทุนเข้าถึงข้อมูลทางการเงินและซื้อขายหุ้นได้อย่างเป็นธรรม