ส่อวุ่น! คดี ‘ฮั้วเลือก สว.’ ลามถึง DSI-ศาลรัฐธรรมนูญ ชี้ชะตา สว. – พรรคการเมือง?
สถานการณ์เกี่ยวกับการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ยังคงเป็นที่จับตามองอย่างใกล้ชิด หลังมีข้อกล่าวหาและหลักฐานเรื่อง ‘ฮั้วเลือก สว.’ ปรากฏออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดคำถามถึงความชอบธรรมของกระบวนการเลือก สว. ครั้งล่าสุด ซึ่งดำเนินการตามรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560
แม้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ประกาศผลการเลือก สว. เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2567 ไปแล้ว แต่ภารกิจการพิจารณาเรื่องคัดค้านหรือร้องเรียนยังคงดำเนินไปภายใต้กรอบเวลาที่จำกัด กกต. มีระยะเวลาในการพิจารณาให้แล้วเสร็จก่อนครบกำหนด 1 ปีนับตั้งแต่วันประกาศผล ซึ่งหมายความว่ากระบวนการทั้งหมดต้องเสร็จสิ้นก่อนวันที่ 10 กรกฎาคม 2568 ท่ามกลางข้อกังวลว่าการทำงานของคณะกรรมการที่ได้รับมอบหมายให้พิจารณาเรื่องร้องเรียนจะสามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็วและรอบคอบทันตามกำหนดหรือไม่ เนื่องจากปริมาณข้อร้องเรียนและข้อสงสัยที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก
กระบวนการสืบสวนไต่สวนได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว โดย กกต. ได้ออกหมายเรียกสมาชิกวุฒิสภาที่ถูกร้องกลุ่มแรกให้เข้าชี้แจงข้อกล่าวหา ในวันที่ 19 พฤษภาคม และกลุ่มต่อๆ ไปจนถึงวันที่ 21 พฤษภาคม รวมทั้งสิ้น 55 คน การดำเนินการนี้เป็นไปตามอำนาจหน้าที่ของ กกต. และเลขาธิการ กกต. ที่ต้องดำเนินการไต่สวนเหตุอันควรสงสัย หรือความปรากฏตามข้อกล่าวหาว่ามีความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 70 ประกอบ มาตรา 36 มาตรา 77(1) และมาตรา 62
คาดการณ์ว่าคดีความและข้อร้องเรียนจะไม่หยุดอยู่แค่สมาชิกวุฒิสภาจำนวน 55 คนเท่านั้น แต่จะมีจำนวนเพิ่มขึ้นอีกมาก เนื่องจากมีหลักฐานที่ชี้ให้เห็นถึงขบวนการฮั้วเลือกกันอย่างเป็นระบบ ซึ่งจากข้อมูลเบื้องต้นอาจเกี่ยวข้องกับบุคคลถึง 138 คน และมีรายชื่อสำรองอีก 2 คน
หากคณะกรรมการการเลือกตั้งมีมติ ‘ชี้มูล’ ว่ามีความผิดจริง ขั้นตอนต่อไปคือการยื่นเรื่องต่อศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง เพื่อพิจารณากำหนดบทลงโทษตามความผิด ซึ่งอาจมีตั้งแต่การเพิกถอนสมาชิกภาพการเป็น สว. ไปจนถึงการตัดสิทธิ์ทางการเมือง
ความน่ากังวลของคดีนี้ยังขยายวงกว้างออกไปอีก เนื่องจากประเด็นการฮั้วเลือก สว. ถูกเชื่อมโยงไปถึงความผิดใน ‘คดีพิเศษ’ โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กำลังดำเนินการสอบสวนอย่างเข้มข้นในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการฟอกเงินและอั้งยี่ หากมีพยานหลักฐานเชื่อมโยงไปถึงสมาชิก สว. หรือผู้เกี่ยวข้อง ก็อาจนำไปสู่การถูกฟ้องในคดีอาญาแยกต่างหาก
ที่สำคัญ ล่าสุดมีผู้ยื่นคำร้องต่อ อัยการสูงสุด เพื่อขอให้พิจารณาส่งเรื่องให้ ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยสั่งการตาม รัฐธรรมนูญมาตรา 49 ซึ่งบัญญัติว่า บุคคลจะใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมิได้ หากอัยการสูงสุดพิจารณาแล้วเห็นว่าคำร้องมีมูล อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในภูมิทัศน์การเมืองไทยได้ เนื่องจากผลจากการวินิจฉัยตามมาตรา 49 อาจนำไปสู่การสั่ง ยุบพรรคการเมือง หรือ ตัดสิทธิ์ทางการเมือง กับบุคคลและคณะบุคคลที่ร่วมขบวนการ
สถานการณ์นี้จึงเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะไม่เพียงส่งผลต่อสถานะของสมาชิกวุฒิสภาที่ถูกกล่าวหา แต่ยังมีนัยยะสำคัญต่อความน่าเชื่อถือของกระบวนการเลือกตั้งและเสถียรภาพทางการเมืองโดยรวมของประเทศไทย