SCB CIO ชี้ 3 ปัจจัยทุบตลาดการเงินโลก แนะลงทุน ‘หุ้นกู้ระยะสั้น-ทองคำ’ รับมือความผันผวน
กรุงเทพฯ – นายศรชัย สุเนต์ตา, CFA รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Wealth & Investment Product กลุ่มธุรกิจ Consumer Banking ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า SCB CIO (SCB Chief Investment Office) ได้มีการแลกเปลี่ยนมุมมองด้านการลงทุนกับ BlackRock ผู้เชี่ยวชาญการลงทุนระดับโลก และได้ร่วมกันวิเคราะห์ถึงปัจจัยหลักที่กำลังส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินทั่วโลกในขณะนี้
3 ปัจจัยหลักเขย่าตลาดการเงินโลก
SCB CIO และ BlackRock มองว่า มี 3 ปัจจัยสำคัญที่กำลังกดดันสินทรัพย์ทั่วโลก:
ปัจจัยที่ 1: สงครามการค้าและนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่แข็งกร้าวขึ้น
- สหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษีนำเข้ารอบใหม่ที่รุนแรงกว่าที่คาด ทำให้เกิดความกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจเข้าสู่ภาวะ Stagflation (เศรษฐกิจชะลอตัว เงินเฟ้อสูง) หรือแม้กระทั่งเศรษฐกิจถดถอย (Recession) หากมีการตอบโต้ที่รุนแรงระหว่างประเทศคู่ค้า
- แม้จะมีการเลื่อนการขึ้นภาษีตอบโต้รายประเทศ (Reciprocal Tariff) ออกไป 90 วันเพื่อเปิดช่องเจรจา แต่สหรัฐฯ ยังคงอัตราภาษีนำเข้าขั้นต่ำ 10% (Universal Tariffs) สำหรับสินค้าส่วนใหญ่ ยกเว้นเม็กซิโกและแคนาดา รวมถึงเหล็ก อะลูมิเนียม และยานยนต์ ที่ถูกปรับขึ้นภาษีเฉพาะไปแล้ว
- การขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนรวมสูงถึง 145% และการตอบโต้จากจีน นำไปสู่สงครามการค้าเต็มรูปแบบระหว่างสองมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ
- นโยบายภาษีที่คาดเดายากนี้ยังรวมถึงแผนขึ้นภาษีสินค้าเฉพาะทาง เช่น เซมิคอนดักเตอร์ สินค้าเกษตร และเวชภัณฑ์ ซึ่งจะเพิ่มความผันผวนให้กับตลาด โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ และสินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆ ในระยะสั้น
- จากสถานการณ์นี้ BlackRock ได้ปรับลดกรอบการลงทุนเชิงกลยุทธ์ลงเหลือเพียง 3 เดือน และปรับลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นทั่วโลกเป็น Neutral
ปัจจัยที่ 2: ความไม่แน่นอนของมาตรการทางการคลังสหรัฐฯ
- สหรัฐฯ มีแผนที่จะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น การลดภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับผู้ผลิต การขยายเพดานหักลดหย่อนภาษี แต่ผลกระทบจากมาตรการเหล่านี้อาจไม่เพียงพอที่จะชดเชยผลกระทบจากการขึ้นภาษีนำเข้าที่จะเริ่มชัดเจนขึ้นตั้งแต่ไตรมาสที่ 2/2568
- แม้สภาครองเกรสจะมีกระบวนการเร่งรัดการผ่านร่างงบประมาณ แต่การอนุมัติมาตรการทางการคลังอาจยังล่าช้าออกไปถึงช่วงปลายไตรมาสที่ 3/2568 ทำให้เกิดความไม่แน่นอนต่อนักลงทุน
ปัจจัยที่ 3: ความเสี่ยงต่อประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ
- กำไรต่อหุ้น (EPS) ของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ สำหรับปี 2568 มีความเสี่ยงที่จะถูกปรับลดประมาณการลง จากผลกระทบของสงครามการค้าที่กดดันกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การใช้จ่ายผู้บริโภค และการลงทุน
- อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการไตรมาสแรกของบริษัทขนาดใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยี 6 อันดับแรกในดัชนี S&P500 เช่น Microsoft, Apple, Meta, Alphabet, Amazon และ Nvidia ยังคงขยายตัวได้ดีที่ +17.4%YoY และส่วนใหญ่รายงานกำไรดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ แสดงให้เห็นว่าผลกระทบจากสงครามการค้ายังไม่สะท้อนออกมาเต็มที่ในตอนนี้
คำแนะนำการลงทุนจาก SCB CIO
นายศรชัย กล่าวว่า SCB CIO มีมุมมองสอดคล้องกับ BlackRock โดยยังมองว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีศักยภาพที่จะเป็นผู้นำในตลาดโลกในระยะ 6-12 เดือนข้างหน้า หากสถานการณ์นโยบายการค้าคลี่คลายลง และมีนโยบายเชิงบวกอื่นๆ เข้ามาสนับสนุน ขณะที่ตลาดหุ้นเกิดใหม่จะได้รับผลกระทบจากภาษีนำเข้าแตกต่างกันไป
SCB CIO ไม่แนะนำการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะยาว เนื่องจากมีแนวโน้มผันผวนสูงจากความกังวลด้านการขาดดุลการคลังและแรงกดดันเงินเฟ้อ
คำแนะนำหลักในภาวะตลาดผันผวนนี้คือ:
- เน้นลงทุนในหุ้นกู้คุณภาพดี ระยะสั้น-กลาง: ทั้งในตลาดสหรัฐฯ และไทย เพื่อสร้างรายได้ที่สม่ำเสมอ
- ลงทุนในทองคำ: เพื่อช่วยกระจายความเสี่ยงให้กับพอร์ตการลงทุน (Portfolio Diversification)
- พิจารณากองทุนผสม: สำหรับนักลงทุนที่ต้องการให้ผู้เชี่ยวชาญช่วยบริหารพอร์ตลงทุน
SCB CIO ยังคงติดตามประเด็นการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด และพร้อมจะปรับคำแนะนำการลงทุนเพื่อเพิ่มการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอีกครั้ง หากสถานการณ์มีความชัดเจนและแนวโน้มการเจรจาเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น