เร่งช่วยเหยื่อถูกรุมทำร้าย ซอยรัชดา 13 พบป่วยจิตเวชจากสารเสพติด ด้านตำรวจแจ้งข้อหา 4 คน ยังตาม 1
เร่งช่วยเหยื่อถูกรุมทำร้าย ซอยรัชดา 13 พบป่วยจิตเวชจากสารเสพติด ด้านตำรวจแจ้งข้อหา 4 คน ยังตาม 1
กรุงเทพฯ – เมื่อเวลา 18.00 น. วันที่ 5 พฤษภาคม ที่ สน.สุทธิสาร นายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ หรือ กัน จอมพลัง พร้อมด้วย ดร.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ร่วมกันให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน กรณีการช่วยเหลือหญิงสาวผู้เสียหาย ซึ่งถูกกลุ่มวัยรุ่นรุมทำร้ายในซอยรัชดา 13 จนเป็นเหตุให้เกิดคลิปเผยแพร่บนโลกออนไลน์ และต่อมาพบว่าผู้เสียหายมีอาการป่วยทางจิตเวชที่อาจเกิดจากการใช้สารเสพติด
นายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ หรือ กัน จอมพลัง กล่าวถึงที่มาของการช่วยเหลือในครั้งนี้ว่า มีผู้แจ้งขอความช่วยเหลือผ่านเพจ ‘กันจอมพลัง ช่วยสู้’ ให้ช่วยตามหาลูกสาว หลังจากนั้นไม่นานก็ได้เห็นคลิปเหตุการณ์การทะเลาะวิวาทดังกล่าวปรากฏบนโลกออนไลน์ จึงได้เดินทางมาประสานงานกับผู้กำกับการ สน.สุทธิสาร และใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่าก็สามารถติดตามจับกุมตัวผู้ก่อเหตุเบื้องต้นได้
นายกัณฐัศว์ กล่าวต่อว่า หลังจากได้พูดคุยกับคุณแม่ของผู้เสียหาย ซึ่งต้องการให้ช่วยเหลือลูกสาวอย่างเร่งด่วน เนื่องจากมีอาการป่วยทางจิตเวช ตนจึงได้ประสานไปยัง ดร.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เพื่อขอความช่วยเหลือทางการแพทย์และสาธารณสุข เนื่องจากครอบครัวทราบดีว่าผู้เสียหายมีการใช้สารเสพติดมาเป็นระยะเวลานาน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจได้ โดยยืนยันว่าทุกคนเข้าใจและพร้อมให้ความช่วยเหลือ พร้อมทั้งกล่าวเน้นย้ำว่า ไม่ต้องการให้เกิดการแก้แค้นกันไปมา แต่ต้องการให้กระบวนการทางกฎหมายเป็นเครื่องตัดสิน และชื่นชมการทำงานที่รวดเร็วของเจ้าหน้าที่ตำรวจ อย่างไรก็ตาม ยังมีรายงานเหตุการณ์ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจถูกทำร้ายภายหลัง ซึ่งมองว่าไม่ยุติธรรมสำหรับผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่
ด้าน ดร.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ในส่วนของการดำเนินคดีอาญาเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ในมิติของการช่วยเหลือผู้เสียหาย ตนได้พูดคุยกับผู้เสียหายแล้วพบว่ายังให้การได้บ้างไม่ได้บ้าง โดยเจ้าตัวยอมรับว่ามีอาการป่วยที่เกิดจากการใช้สารเสพติด เช่น ไอซ์ และสารเสพติดอื่นๆ มาเป็นเวลานาน ซึ่งผลการตรวจปัสสาวะจากเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ยืนยันว่าพบสารเสพติดจริง แต่ไม่พบยาเสพติดไว้ในครอบครองเพิ่มเติม
ดร.ธนกฤต กล่าวว่า หลังจากการประเมินโดยนักจิตวิทยา ผลการตรวจเข้าข่ายผู้ป่วยที่มีอาการทางจิตเวช ซึ่งเกิดจากการใช้สารเสพติดอย่างชัดเจน จึงได้ประสานไปยังผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา ซึ่งพร้อมรับตัวผู้เสียหายเข้าบำบัดรักษา โดยกำชับให้ดูแลอย่างเต็มที่จนกว่าผู้เสียหายจะสามารถกลับไปใช้ชีวิตในสังคมได้ตามปกติ นอกจากนี้ ยังได้ขอความร่วมมือจากพ่อเลี้ยงและแม่ของผู้เสียหาย ให้ดูแลบุตรหลานอย่างใกล้ชิด และหากมีข้อมูลเบาะแสเกี่ยวกับยาเสพติดที่เกี่ยวข้อง ขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อขยายผลต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่มีการพูดคุยและให้สัมภาษณ์ ครอบครัวของผู้เสียหายได้หลั่งน้ำตาออกมาด้วยความหนักใจ เนื่องจากเคยพาลูกสาวไปบำบัดรักษามาแล้วหลายครั้ง แต่ก็กลับไปใช้สารเสพติดซ้ำอีก ในครั้งนี้จึงมีความหวังอย่างยิ่งว่าการบำบัดจะประสบความสำเร็จและหายขาด
นักจิตเวช ซึ่งได้ร่วมประเมินอาการ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการพูดคุยกับผู้เสียหาย พบว่ามีอาการทางจิตเวชที่เกิดจากยาเสพติดอย่างชัดเจน ซึ่งเคยมารับการรักษาหลายครั้งแล้ว แต่ปัญหาคือการกลับไปใช้ยาเสพติดซ้ำ ซึ่งมองว่าปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมมีความสำคัญอย่างมาก และครอบครัวควรให้การดูแลอย่างใกล้ชิดและเป็นกำลังใจ
พ.ต.อ.พรเทพ เฉลิมเกียรติ ผู้กำกับการ สน.สุทธิสาร ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินคดีว่า ได้ติดตามผู้ก่อเหตุคู่กรณีมาสอบปากคำแล้ว 4 คน และได้แจ้งข้อกล่าวหาในความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่น ส่วนผู้ก่อเหตุอีก 1 คน ซึ่งทราบชื่อเล่นว่า ‘ก้อย’ ขณะนี้กำลังเร่งติดตามตัว และคาดว่าจะได้ตัวในเร็วๆ นี้
สำหรับผลการตรวจหาสารเสพติดในกลุ่มผู้ก่อเหตุคู่กรณีทั้ง 4 คน ไม่พบสารเสพติดในร่างกาย แต่พบว่ามีหนึ่งคนที่มีประวัติเคยถูกดำเนินคดีในข้อหาเกี่ยวกับยาเสพติดเมื่อครั้งอายุ 17 ปี
เมื่อถูกถามถึงการขยายผลด้านยาเสพติดในพื้นที่ พ.ต.อ.พรเทพ ชี้แจงว่า จากการพูดคุยกับครอบครัวผู้เสียหาย ทราบว่าผู้เสียหายส่วนใหญ่ใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่อื่น แต่เข้ามามีเรื่องราวในพื้นที่ สน.สุทธิสาร อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา ทาง สน.สุทธิสาร ได้มีการลงพื้นที่กวาดล้างและปราบปรามยาเสพติดอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว ส่วนประเด็นที่ชาวบ้านแจ้งว่าจุดเกิดเหตุมักมีการมั่วสุมยาเสพติดนั้น ผู้กำกับการฯ ยืนยันว่า เจ้าหน้าที่สายตรวจได้ออกตรวจพื้นที่ดังกล่าวเป็นประจำ และได้สั่งการให้ตำรวจลงพื้นที่ตรวจสอบเรื่องสารเสพติดในบริเวณนั้นเพิ่มเติมแล้ว