“นายกฯอิ๊งค์” ลงพื้นที่จันทบุรี พบชาวสวนทุเรียน ฟังปัญหาผลไม้ รับปากเร่งแก้ “ราคาตก-ส่งออกล่าช้า”
จันทบุรี, 17 พฤษภาคม 2567 – เมื่อเวลา 10.55 น. วันนี้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางลงพื้นที่จังหวัดจันทบุรี ณ สวนรักตะวัน อำเภอท่าใหม่ เพื่อพบปะและรับฟังปัญหา รวมถึงข้อเสนอแนะจากพี่น้องเกษตรกรชาวสวนผลไม้และผู้ประกอบการ โดยเฉพาะทุเรียน ซึ่งเป็นผลไม้ส่งออกหลักของไทย เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาและยกระดับภาคการผลิตและตลาดผลไม้ไทย
การลงพื้นที่ครั้งนี้มีรัฐมนตรีหลายท่านร่วมคณะ อาทิ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์, นายอิทธิ ศิริลัทธยากร และนายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์, และ น.ส.จิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อรับฟังปัญหาต้นทุนการผลิตและผลผลิตจากเกษตรกรในพื้นที่ภาคตะวันออก และพิจารณาแนวทางการช่วยเหลือจากภาครัฐ
ในการพบปะ เกษตรกรและผู้ประกอบการได้นำเสนอหลากหลายปัญหาและข้อเสนอแนะที่สำคัญ ได้แก่:
- ปัญหาการส่งออก: ตัวแทนผู้ประกอบการเสนอให้ภาครัฐสนับสนุนการส่งออก และจัดตั้งห้องปฏิบัติการตรวจแล็บในพื้นที่ปลูกผลไม้หลัก เช่น จันทบุรีและชุมพร เพื่อความรวดเร็วในการตรวจสอบและเปิดช่องทางจัดเงินทุนหมุนเวียน รวมถึงเสนอให้ใช้อินฟลูเอ็นเซอร์ระดับโลกอย่าง “ลิซ่า แบล็กพิงค์” ช่วยโปรโมทสินค้า
- คุณภาพผลผลิตและราคา: เกษตรกรชาวสวนทุเรียนเสนอให้ออกระเบียบควบคุมคุณภาพ โดยกำหนดเปอร์เซ็นต์ความแห้งของทุเรียนที่ชัดเจน และให้หน่วยงานรัฐร่วมตรวจสอบกับล้ง ขณะที่ตัวแทนผู้ปลูกมังคุดสะท้อนปัญหาคุณภาพและราคาที่แกว่งตัวสูง ต้นทางราคาต่ำแต่ปลายทางราคาสูง อยากให้โรงรับซื้อติดป้ายราคา และตรวจสอบสาเหตุราคาตกต่ำ
- ปัญหาด่านตรวจสอบจีน: ปัญหาใหญ่คือกระบวนการตรวจสอบที่ด่านประเทศจีนใช้เวลานานถึง 8-12 วัน ทำให้ผลไม้ตกค้างและเสียหาย
- ปัญหาแรงงาน: สส.พรรคประชาชน เสนอให้พิจารณาขยายเวลาให้แรงงานต่างด้าวสามารถทำงานและเดินทางข้ามจังหวัดเพื่อช่วยในการเก็บเกี่ยวผลผลิต
- ปัญหาช้างป่า: มีปัญหาช้างป่ารบกวนพืชผลทางการเกษตร และต้องการงบประมาณเพื่อแก้ไขปัญหานี้
น.ส.แพทองธาร ได้รับฟังปัญหาทั้งหมดด้วยความใส่ใจ และกล่าวว่า ดีใจมากที่ได้มาเจอชาวจันทบุรี และตั้งใจมาเพื่อรับฟังปัญหาโดยตรง โดยได้ชี้แจงถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาที่รัฐบาลกำลังเร่งดำเนินการ:
- เรื่องราคาผลผลิต: ได้หารือกับกระทรวงเกษตรฯ และนำภาคเอกชนเข้ามาร่วมรับซื้อเพื่อพยุงราคาและป้องกันผลผลิตเน่าเสีย ซึ่งได้ดำเนินการไปแล้ว
- เรื่องการวิจัยและพัฒนา: จะสนับสนุนการวิจัยเพิ่มเติม รวมถึงการจัดตั้งแล็บทั่วประเทศ เพื่อพัฒนาคุณภาพสินค้าให้ทันโลกที่เปลี่ยนแปลงไป
- เรื่องการส่งออกและด่านจีน: ได้มีการพูดคุยกับประเทศจีน และตั้งทีมทำงานร่วมกันทั้งไทยและจีนเพื่อติดตามและเร่งรัดกระบวนการตรวจสอบหน้าด่านให้ลดจำนวนวันลงให้เหลือน้อยที่สุด โดยกระทรวงเกษตรฯ ตั้งเป้าหมายว่าจะพยายามทำให้ได้ภายใน 24 ชั่วโมง นอกจากนี้จะทำ One-Stop Service สำหรับเอกสารส่งออก และให้ผู้รับซื้อสามารถส่งคนมาร่วมตรวจสอบสารตกค้างในพื้นที่ของเกษตรกรได้ รวมถึงทางจีนกำลังสร้างช่องทางตรวจสอบเพิ่ม
- เรื่องคุณภาพผลไม้: ได้สั่งการให้ออกกฎหมายควบคุมคุณภาพผลไม้ ซึ่งคาดว่าจะประกาศใช้ได้ในวันที่ 10 กรกฎาคมนี้ พร้อมมอบหมายให้ผู้ว่าราชการจังหวัดตั้งทีมทำงานร่วมกับคนในพื้นที่ เพื่อกำหนดราคาและคุณภาพให้เป็นที่ยอมรับร่วมกันระหว่างล้งและเกษตรกร
- เรื่องแรงงาน: จะมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยไปดูแลกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง โดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัดรวบรวมข้อเสนอส่งต่อไป
- เรื่องช้างป่า: จะพิจารณาเป็นกรณีพิเศษ เนื่องจากเป็นปัญหาที่เกี่ยวกับความปลอดภัยในชีวิต โดยจะรับปัญหานี้ไปดูว่าจะทำอะไรเพิ่มได้อีกบ้าง และจะขอคำแนะนำจากผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่
ภายหลังการรับฟังปัญหา นายกรัฐมนตรีได้เยี่ยมชมนิทรรศการสถานการณ์การผลิตผลไม้ของจังหวัดจันทบุรีและภาคตะวันออก ปลูกต้นทุเรียนเป็นที่ระลึก ชมนวัตกรรมทางการเกษตร เช่น โดรนพ่นยา และต้นทุเรียนอายุ 100 ปี ก่อนจะร่วมกิจกรรมตัดทุเรียนจากต้นโชว์สื่อมวลชน โดยกล่าวติดตลกว่า “สบาย อุ้มลูกหนักกว่านี้” เมื่อถูกถามน้ำหนักของทุเรียน
การลงพื้นที่ครั้งนี้ ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาให้ภาคเกษตรกร โดยเฉพาะผลไม้ไทย ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของประเทศ.