“นายกฯอิ๊งค์” นำทบทวนแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ ชี้เน้นลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 4 ด้าน วางฐานรับมือความผันผวนโลก

กรุงเทพฯ – เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2568 – น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความผ่านโซเชียลมีเดีย เปิดเผยถึงผลการประชุมทบทวนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่กำลังเผชิญความท้าทายและความผันผวน

นายกรัฐมนตรี ระบุว่า สถานการณ์เศรษฐกิจโลกปัจจุบันอยู่ในภาวะไม่แน่นอนสูง อันเป็นผลมาจากปัจจัยต่างๆ เช่น สงครามการค้า นโยบายการจัดเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ของประเทศมหาอำนาจ รวมถึงการที่ Moody’s Ratings ได้ปรับมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย ซึ่งส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการค้าและการลงทุน

จากสถานการณ์ดังกล่าว ในช่วงเช้าวันเดียวกันนี้ ได้มีการประชุมคณะอนุกรรมการกลั่นกรองโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยมีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ซึ่งในการประชุมดังกล่าว มีข้อเสนอแนะที่สำคัญจากหน่วยงานด้านเศรษฐกิจหลักของประเทศหลายฝ่าย เช่น สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้รัฐบาลพิจารณาทบทวนและปรับปรุงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อให้มีความสอดคล้อง ยืดหยุ่น และสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนยิ่งขึ้น

ต่อมาในช่วงบ่าย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ได้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบาย โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ครั้งที่ 2/2568 ซึ่งเป็นการประชุมต่อเนื่องจากวงอนุกรรมการฯ โดยมีเป้าหมายเพื่อสรุปและกำหนดแนวทางที่ชัดเจน ที่ประชุมได้พิจารณาข้อเสนอแนะต่างๆ อย่างรอบคอบ และเห็นพ้องกันว่า แนวทางการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหลังจากนี้ไป จะต้องมุ่งเน้นที่การสร้างผลกระทบเชิงบวกในระยะยาว มีความคุ้มค่า และก่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม

แนวทางสำคัญที่ได้มีการสรุปและเสนอให้รัฐบาลนำไปปฏิบัติ คือ การปรับเปลี่ยนจากการเน้นการกระตุ้นระยะสั้นเพียงอย่างเดียว ไปสู่การลงทุนที่มุ่งเน้นการสร้างและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญและเป็นรากฐานให้กับเศรษฐกิจของประเทศใน 4 ประเด็นหลัก ได้แก่

  • โครงสร้างพื้นฐานด้านการจัดการน้ำและระบบคมนาคมขนส่ง: การลงทุนเพื่อยกระดับประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และพัฒนาระบบโลจิสติกส์ให้ทันสมัยและเชื่อมโยง
  • การส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยว: มาตรการและโครงการที่สนับสนุนภาคการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการสร้างรายได้เข้าประเทศ
  • การลดผลกระทบต่อภาคการส่งออก การเพิ่มขีดความสามารถในการผลิต (Productivity): การช่วยเหลือภาคธุรกิจส่งออกให้แข่งขันได้ และการลงทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและนวัตกรรมในกระบวนการผลิต
  • การสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจชุมชน และการพัฒนาทุนมนุษย์: การส่งเสริมเศรษฐกิจระดับฐานราก และการลงทุนในการพัฒนาศักยภาพของประชาชน เพื่อสร้างกำลังคนที่มีคุณภาพและพร้อมสำหรับอนาคต

นอกจากนี้ แผนงานใหญ่เพื่อขับเคลื่อนแนวทางการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทั้ง 4 ด้านนี้ จะถูกแบ่งออกเป็น 3 แผนงานหลัก เพื่อให้เกิดการทำงานที่เป็นระบบและมีเป้าหมายที่ชัดเจน ดังนี้

  • แผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน: ครอบคลุมทั้งโครงการระยะสั้นที่มีผลรวดเร็ว และโครงการลงทุนขนาดใหญ่ในระยะยาวที่จำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ
  • แผนการลงทุนในมนุษย์: สนับสนุนโครงการที่มุ่งพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เช่น โครงการ One District One School (ODOS), กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.), และกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เพื่อยกระดับคุณภาพประชากรและการศึกษา
  • แผนการปรับปรุงและปลดล็อกกฎเกณฑ์ต่างๆ: การทบทวน แก้ไข และยกเลิกกฎหมาย กฎระเบียบ ข้อบังคับที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจ การลงทุน และการพัฒนา เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว

นายกรัฐมนตรี ย้ำในตอนท้ายว่า การปรับแนวทางการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งนี้ ไม่ได้เป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่เป็นการวางรากฐานที่สำคัญให้กับเศรษฐกิจไทย เพื่อให้มีความยืดหยุ่น มีขีดความสามารถในการแข่งขันที่สูงขึ้น และพร้อมรับมือกับความท้าทายจากสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและคาดเดาได้ยากในอนาคต

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *