นายกฯ แจง เลื่อนดิจิทัลวอลเล็ต 1.57 แสนล้าน โยกทำโครงสร้างพื้นฐาน ยันไม่ใช่ยกเลิก แค่สถานการณ์สุดวิสัย
ทำเนียบรัฐบาล, 20 พฤษภาคม 2568 – น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ยืนยันมติ ครม. เห็นชอบให้ทบทวนแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 1.57 แสนล้านบาท ซึ่งเดิมมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต โดยจะมีการโยกงบประมาณก้อนนี้ไปใช้ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและการพัฒนาประเทศระยะยาวก่อน
นายกรัฐมนตรี ชี้แจงถึงเหตุผลในการปรับแผนครั้งนี้ว่า เป็นผลมาจากการรับฟังข้อเสนอแนะจากหลายภาคส่วน ทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสภาการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) รวมถึงความจำเป็นในการปรับนโยบายเศรษฐกิจให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลกและปัญหาที่เข้ามาแทรกแซง โดยเฉพาะสถานการณ์เรื่องกำแพงภาษีสหรัฐฯ ที่เป็นสถานการณ์สุดวิสัยที่ไม่มีใครคาดคิด
น.ส.แพทองธาร ยืนยันว่า โครงการดิจิทัลวอลเล็ตเฟส 1 และ 2 ที่จ่ายให้กับกลุ่มผู้สูงอายุและกลุ่มเปราะบางไปแล้ว สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริง แต่สำหรับเงินก้อน 1.57 แสนล้านบาท เห็นว่าในสถานการณ์ปัจจุบัน มีความจำเป็นเร่งด่วนกว่าที่จะนำเงินจำนวนนี้ไปใช้สร้างรากฐานและพัฒนาประเทศในระยะยาว ซึ่งจะเกิดประโยชน์ต่อประเทศโดยรวมและสูงสุดในเวลานี้ มากกว่าการแจกเงิน 10,000 บาท ที่จะถึงแค่บางกลุ่ม
เมื่อถามถึงการใช้คำว่า ‘ชะลอ’ โครงการดิจิทัลวอลเล็ต นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ต้องทำความเข้าใจกับประชาชนว่า เงินก้อนนี้ยังมีความสำคัญ แต่จำเป็นต้องเรียงลำดับความสำคัญของการใช้เงิน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดภายใต้ปัญหาที่เข้ามาแทรกแซง ยืนยันว่าไม่ได้ยกเลิกโครงการ แต่เพียงแค่ชะลอไว้ก่อน เพื่อรอสถานการณ์ที่เศรษฐกิจดีขึ้น ซึ่งการกระตุ้นเศรษฐกิจในรูปแบบนี้จะได้ผลมากที่สุดในเวลาที่เหมาะสม
สำหรับงบประมาณ 1.57 แสนล้านบาท ที่โยกไปใช้ จะนำไปลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นเร่งด่วน เช่น โครงการด้านน้ำ เพื่อการอุปโภคบริโภค การบริหารจัดการน้ำท่วมน้ำแล้ง และการทำน้ำสะอาด ซึ่งเป็นประโยชน์โดยตรงต่อประชาชนทั่วประเทศ ยืนยันว่าเงินก้อนนี้ซึ่งมาจากงบกลาง ปีงบประมาณ 2568 และต้องใช้ให้หมดภายในวันที่ 30 กันยายน 2568 ไม่ใช่เงินที่จะนำไปใช้จัดการเรื่องกำแพงภาษีสหรัฐฯ โดยตรง แต่เป็นการลงทุนในก้อนแรกเพื่อเชื่อมต่อนโยบายระยะกลางและระยะยาวต่อไป
นายกรัฐมนตรี ยอมรับว่าสถานการณ์ที่เข้ามาแทรก ทำให้การหาเสียงในอนาคตอาจยากขึ้น แต่ยืนยันว่าพรรคเพื่อไทยประเมินสถานการณ์ก่อนหาเสียงเสมอ และนโยบายที่ทำได้จริงก็ทำไปแล้ว การปรับแผนครั้งนี้เกิดจากสถานการณ์พิเศษและสุดวิสัย ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้เลย
ในส่วนประเด็นการรับมือกับกำแพงภาษีสหรัฐฯ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เป็นเรื่องของนโยบายที่จะต้องปรับเปลี่ยน และอาจจะต้องมีส่วนของเงินอัดฉีดเข้าระบบหรือไม่ ต้องพิจารณาอีกครั้ง ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับเงิน 1.57 แสนล้านบาทนี้ ส่วนกรณีที่นักธุรกิจรายใหญ่ของไทยได้ไปพบนายโดนัลด์ ทรัมป์ เกี่ยวข้องกับดีลลับหรือไม่นั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ไม่ทราบว่ามีการพูดคุยอะไรกันบ้าง เนื่องจากนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่ได้ไปด้วย แต่โดยส่วนตัวยินดีหากนักธุรกิจไม่ว่ารายใหญ่หรือเล็กจะให้ความร่วมมือและเป็นประโยชน์ต่อรัฐบาลในการแก้ไขปัญหา
น.ส.แพทองธาร ขอความร่วมมือประชาชนให้เข้าใจสถานการณ์ว่า เมื่อมีเรื่องที่เข้ามาแทรก ทำให้ต้องชะลอการให้เงินบางกลุ่ม และเน้นการลงทุนที่เป็นประโยชน์ต่อคนทั้งประเทศก่อนในเวลานี้ ซึ่งถือเป็นการเรียงลำดับความสำคัญเพื่อกอบกู้และรองรับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น