รมว.คลัง ‘พิชัย’ เตรียมทบทวนแผนกระตุ้นเศรษฐกิจยกใหญ่ ลุ้นชะตากรรม ‘เงินดิจิทัล’ รับมือภาษีสหรัฐฯ-คำเตือน Moody’s
‘พิชัย’ สั่งทบทวนแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ-ดิจิทัลวอลเล็ต รับมือปัจจัยผันผวนโลกและนโยบายภาษีสหรัฐฯ
กรุงเทพฯ – เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2568 นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงทิศทางการดำเนินงานด้านการคลังและเศรษฐกิจของประเทศ โดยระบุว่าในเร็ว ๆ นี้ จะมีการเรียกประชุมคณะกรรมการนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่มี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เพื่อพิจารณาและทบทวนแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหม่ทั้งหมด
การทบทวนแผนครั้งนี้มีขึ้นภายหลังจากที่ได้มีการสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปรวบรวมข้อมูลเพื่อประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ยังคงผันผวน รวมถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากมาตรการนโยบายภาษีของประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีประเทศใดได้ข้อสรุปที่ชัดเจนว่าจะได้รับผลกระทบในรูปแบบใด
นอกจากนี้ นายพิชัย กล่าวถึงกรณีที่สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ มูดีส์ (Moody’s) ได้ออกมาแสดงความกังวลเกี่ยวกับฐานะการคลังของประเทศไทย โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็ได้มีหนังสือมาถึงกระทรวงการคลัง เพื่อให้พิจารณาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และเสนอแนะให้มีการปรับการลงทุนภายในประเทศ เพื่อรองรับและเพิ่มศักยภาพในการส่งออกให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน
“ผมไม่ได้ทำเรื่องนี้คนเดียว ซึ่งได้มีการออกหนังสือถึงคณะกรรมการนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วเพื่อแจ้งให้รับรู้ว่าจะมีการปรับแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจ และให้แต่ละหน่วยงานทำการบ้านมาว่าจะต้องทบทวนอย่างไร” นายพิชัย กล่าวและเสริมว่า กรรมการทุกคนรับทราบถึงแนวทางการปรับแผนครั้งนี้และกำลังเร่งดำเนินการในส่วนของตนเอง
เม็ดเงินคงคลังและการปรับโครงการ ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’
สำหรับเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจที่ยังคงเหลืออยู่ในระบบประมาณ 157,000 ล้านบาท นายพิชัย ระบุว่าจะต้องพิจารณาถึงความจำเป็นอีกครั้งว่าจะนำไปใช้ในด้านใด และจะมีการปรับวิธีการใช้อย่างไร ซึ่งรวมถึงโครงการสำคัญอย่าง การเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ก็จะมีการนำมาพิจารณาว่าจะเอายังไงและจะปรับอย่างไรให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน
นายพิชัย มองว่า การทบทวนและปรับแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ ควรเน้นไปที่ภาพรวมทั้งหมด ทั้งในด้านการบริหารจัดการงบประมาณ การส่งเสริมการส่งออก การขยายฐานภาษี และพิจารณาโครงการใหม่ ๆ ที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การพัฒนาพลังงานสะอาดผ่านโครงการไบโอแก๊ส ด้วยการสร้างโรงไฟฟ้าชีวภาพที่ผลิตไฟฟ้าจากวัตถุดิบธรรมชาติ อาทิ หญ้าเนเปียร์ หรือข้าวโพด รวมถึงการเพิ่มพื้นที่ปลูกข้าวโพดเพื่อรองรับความต้องการในประเทศที่สูงถึงปีละ 4.5 ล้านตัน และการบริหารจัดการน้ำเพื่อสนับสนุนภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม
ในส่วนของการดูแลผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีสหรัฐฯ กระทรวงการคลังได้เชิญภาคเอกชนมาหารือเพื่อหาแนวทางการดูแลที่ชัดเจน ซึ่งอาจต้องมีการเตรียมมาตรการช่วยเหลือด้านสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) โดยรัฐบาลอาจเข้าไปช่วยสนับสนุนในเรื่องดอกเบี้ย ผ่านการหารือร่วมกับสถาบันการเงินและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
นายพิชัย ยังมองเห็นโอกาสสำหรับประเทศไทยในการเพิ่มยอดการส่งออกสินค้าไปยังประเทศจีน โดยเฉพาะหากสหรัฐฯ ลดการส่งออกสินค้าบางประเภทไปจีน จีนก็อาจมีความต้องการสินค้านั้น ๆ เพิ่มขึ้น จากการสำรวจพบว่าจีนยังต้องการสินค้าประเภทอะไหล่อยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับสินค้าส่งออกของไทย
ปลัดคลังยัน ‘กู้เงิน’ ทางเลือกสุดท้าย เร่งประชุมเคาะแผนกระตุ้นฯ
ด้าน นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวเสริมว่า การประชุมคณะกรรมการนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจ ควรจะมีการจัดขึ้นให้เร็วที่สุดภายในเดือนพฤษภาคมนี้ โดยแผนการกู้เงินเพื่อดูแลเศรษฐกิจจะเป็นเพียงความคิดสุดท้าย (last resort) เนื่องจากยังมีช่องทางในการใช้งบประมาณที่หลากหลาย เช่น การบริหารจัดการงบประมาณปี 2568 ที่ยังมีวงเงินคงเหลืออยู่ 1.57 แสนล้านบาท, เงินกู้เพื่อการฉุกเฉินตามวงเงินงบประมาณ 5 หมื่นล้านบาท ซึ่งเคยใช้ในช่วงสถานการณ์โควิด, และเงินคงคลัง นอกจากนี้ ยังมีการบริหารจัดการงบประมาณปี 2569 ที่สามารถนำมาใช้ได้เช่นกัน
“เป้าหมายในการใช้เงินรอบนี้ เพื่อให้กระตุ้นเศรษฐกิจไม่ใช้แค่ประคอง แต่ต้องทําให้กระตุ้นให้มากที่สุด ซึ่งเราไม่อยากให้จีดีพีโต 2.1% ตามที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ประมาณการ โดยจะใส่ความพยายามให้เศรษฐกิจโตลดลงจาก 3% ให้น้อยที่สุด” นายลวรณ กล่าวเน้นย้ำถึงเป้าหมายในการผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ