พิชัย แจงเหตุเลื่อนเจรจาการค้าสหรัฐฯ ต้องรอบคอบ เตรียมมาตรการรับมือทุกสถานการณ์
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะหัวหน้าทีมเจรจาการค้าไทย-สหรัฐฯ ได้เปิดเผยถึงเหตุผลเบื้องหลังการตัดสินใจเลื่อนกำหนดการเยือนสหรัฐอเมริกาเพื่อเจรจาการค้า โดยระบุว่า การเลื่อนออกไปนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้มีเวลาเพียงพอในการหารือและพิจารณาข้อมูลต่างๆ ให้เกิดความชัดเจนและรอบคอบที่สุด
นายพิชัย ชี้แจงว่า แม้กำหนดการเยือนระดับสูงจะถูกขยับออกไป แต่การทำงานในระดับปฏิบัติการยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง คณะทำงานทั้งในประเทศและต่างประเทศยังคงประสานงานกันอย่างใกล้ชิด เพื่อรวบรวมและจัดทำข้อมูลสำหรับการหารือในทุกมิติ เพื่อให้การเจรจาระดับสูงเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและนำไปสู่ผลลัพธ์แบบ Win-Win ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของทั้งสองฝ่าย
เผชิญความไม่แน่นอนสูง ต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังยอมรับว่า สถานการณ์เศรษฐกิจและการค้าโลกในปัจจุบันมีความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและมีความไม่แน่นอนสูงมาก ความรู้สึกนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับประเทศไทย แต่เป็นปรากฏการณ์ที่ทุกประเทศทั่วโลกกำลังเผชิญ ทำให้สิ่งที่เคยชัดเจนอาจจะไม่ชัดเจนอีกต่อไป ด้วยเหตุนี้ จึงจำเป็นต้องทบทวนและขยับกำหนดการเยือนออกไป เพื่อประเมินสถานการณ์และเงื่อนไขต่างๆ ที่อาจมีการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะการติดตามท่าทีและการเจรจาของสหรัฐฯ กับประเทศที่มีขนาดการค้าใหญ่กว่าไทย เพื่อนำมาเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาแนวทางของไทย
นายพิชัย กล่าวย้ำว่า การนัดหมายวันเจรจาที่เหมาะสมที่สุดคือการไม่เร็วหรือช้าเกินไปเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ การติดตามว่าประเทศที่เป็น ‘หัวขบวน’ หรือ ‘กลางขบวน’ ถูกกระทบอย่างไร จะช่วยให้ไทยซึ่งอยู่ในฐานะ ‘กลางๆ เกือบท้าย’ สามารถกำหนดท่าทีและมาตรการที่เหมาะสมได้ดียิ่งขึ้น
รัฐบาลเตรียมพร้อมรับมือผลกระทบรอบด้าน
จากการเปลี่ยนแปลงระบบการค้าโลกอย่างพลิกผัน รัฐบาลตระหนักดีว่าย่อมส่งผลกระทบต่อทุกประเทศ รวมถึงประเทศไทย จึงได้มีการเตรียมการอย่างรอบด้านเพื่อช่วยเหลือ ฟื้นฟู และปฏิรูป
ในส่วนของการเตรียมรับมือภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ได้มีการหารือกับสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ ถึงแนวทางการดำเนินการและทางเลือกต่างๆ ที่ประเทศไทยมี ขณะที่เรื่องการฟื้นฟูและเยียวยา ได้หารือเบื้องต้นกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เกี่ยวกับมาตรการช่วยเหลือที่จะนำมาใช้หากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ขึ้น โดยมีการตั้งโจทย์และมอบหมายการบ้านให้ติดตามกลุ่มที่จะได้รับผลกระทบอย่างใกล้ชิด
ประเด็นสำคัญอีกประการคือ การปฏิรูปหลักเกณฑ์และกติกาการนำเข้าให้มีความชัดเจน รวดเร็ว และโปร่งใส ซึ่งรัฐบาลมองว่าเป็นโอกาสที่ดีที่จะดำเนินการเรื่องนี้ควบคู่ไปกับการรับมือสถานการณ์โลก
นอกจากนี้ ยังมีการติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจไทยอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 แม้ไตรมาสแรกจะเติบโตได้ดี แต่หากในกรณีที่สถานการณ์ไม่ดี โดยเฉพาะเมื่อการส่งออกมีปัญหา ซึ่งจะกระทบต่อภาคการผลิตและการจ้างงาน สภาพัฒน์จะต้องนำโจทย์นี้ไปพิจารณามาตรการรองรับ
ประเด็นค่าเงินและการแทรกแซง
นายพิชัย ยังกล่าวถึงประเด็นที่สหรัฐฯ ติดตามการแทรกแซงค่าเงินของประเทศต่างๆ ยืนยันว่าสหรัฐฯ ไม่ได้มองว่าไทยมีการแทรกแซงค่าเงิน เพียงแต่หวังว่าทุกประเทศจะไม่ดำเนินการดังกล่าว โดยคาดว่าสหรัฐฯ ต้องการเห็นการส่งออกของตนเองเพิ่มขึ้น และอาจอยากเห็นค่าเงินของประเทศคู่ค้าอ่อนค่าลงบ้าง เนื่องจากสหรัฐฯ เสียเปรียบดุลการค้าเยอะ การแข่งขันจึงควรเกิดขึ้นตามกลไกตลาดธรรมชาติ หากประเทศใดทำให้ค่าเงินอ่อนค่าเพื่อความได้เปรียบเชิงการค้า สหรัฐฯ ก็มีวิธีการตรวจสอบ
การกู้เงินและการบริหารหนี้สาธารณะ
สำหรับเรื่องการกู้เงินเพิ่มเพื่อขยายเพดานหนี้สาธารณะ 70% นายพิชัย ชี้แจงว่า หากเศรษฐกิจชะลอตัวลงจริง การเตรียมมาตรการจ้างงานและการลงทุนจะเป็นสิ่งจำเป็น ซึ่งการลงทุนควรเป็นการลงทุนที่สร้างประโยชน์ให้เศรษฐกิจ ทำให้ขนาดเศรษฐกิจใหญ่ขึ้น และทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP เล็กลงในที่สุด แม้ปัจจุบันจะยังไม่มีโจทย์เร่งด่วนในการกู้เพิ่มเพื่อการนี้ แต่ก็ได้มีการพิจารณาไว้ล่วงหน้าถึงความเป็นไปได้และผลกระทบต่อเพดานหนี้สาธารณะในกรณีที่จำเป็นต้องใช้มาตรการดังกล่าว