รองนายกฯ พิชัย เผย รัฐบาลเตรียมทุ่ม 5 แสนล้าน กระตุ้นเศรษฐกิจ รับมือ IMF ลดคาดการณ์ GDP ปี 68
กรุงเทพฯ – นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงกรณีที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ปรับลดประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของประเทศไทยในปี 2568 จากเดิมที่คาดไว้ 2.9% เหลือเพียง 1.8% ว่าเป็นการประเมินเบื้องต้นเท่านั้น ซึ่งสถานการณ์จริงอาจไม่ลดลงถึงขนาดนั้น.
นายพิชัยกล่าวว่า สถานการณ์เศรษฐกิจโลกยังคงมีความไม่แน่นอนและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ยอมรับว่าอาจมีผลกระทบบ้าง แต่รัฐบาลกำลังประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และมีความพร้อมที่จะออกมาตรการต่างๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นการเร่งด่วน โดยมาตรการเหล่านี้มีวัตถุประสงค์เพื่อชดเชยส่วนที่คาดว่าจีดีพีจะลดลงไป และรักษาให้เศรษฐกิจไทยสามารถเติบโตได้ในระดับที่เหมาะสมตามเป้าหมายที่ตั้งไว้.
ท่านรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ระบุว่า โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะออกมานั้น จะต้องมีขนาดใหญ่พอที่จะสร้างแรงขับเคลื่อนที่สำคัญให้กับระบบเศรษฐกิจได้ ซึ่งส่วนตัวมองว่าน่าจะต้องใช้เม็ดเงินจำนวนไม่ต่ำกว่า 5 แสนล้านบาท โดยจะเน้นการโฟกัสไปที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจภายในประเทศ ทั้งการกระตุ้นการบริโภคของประชาชน การส่งเสริมการลงทุนในประเทศ รวมถึงการพิจารณามาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) เพื่อช่วยเหลือภาคธุรกิจต่างๆ.
สำหรับที่มาของแหล่งเงินทุนจำนวนมหาศาลนี้ นายพิชัยกล่าวว่าขณะนี้ยังไม่ได้สรุปเป็นทางการ เพราะมีแนวทางที่เป็นไปได้หลายทาง โดยอยู่ระหว่างการหารืออย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อหาข้อสรุปที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพที่สุด.
ส่วนประเด็นความกังวลเกี่ยวกับภาระหนี้สาธารณะที่จะเพิ่มขึ้นนั้น นายพิชัยแสดงความเห็นว่าไม่ควรมองแค่เรื่องของตัวเลขหนี้เพียงอย่างเดียว เนื่องจากหลายประเทศทั่วโลกก็มีระดับหนี้สาธารณะที่สูงกว่าประเทศไทยในปัจจุบัน แต่สิ่งสำคัญยิ่งกว่าคือการที่รัฐบาลจะนำเงินที่กู้มาไปใช้ทำอะไร หากเม็ดเงินเหล่านั้นถูกนำไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถช่วยให้ขนาดเศรษฐกิจโดยรวมขยายตัวและเติบโตได้มากขึ้น ก็จะส่งผลให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ปรับตัวลดลงได้ในที่สุด.
ด้านนายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง ได้กล่าวยืนยันเพิ่มเติมว่า ในขณะนี้ฐานะการคลังของประเทศไทยยังคงมีความเข้มแข็ง ส่วนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่รัฐบาลเตรียมไว้ด้วยงบประมาณกว่า 5 แสนล้านบาทนั้น ก็จะต้องพิจารณาว่าเม็ดเงินจะเข้าสู่ระบบในส่วนใด โดยมองว่าการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศจะสามารถสร้างผลกระทบและเห็นผลได้ค่อนข้างรวดเร็ว แต่ในขณะเดียวกัน การส่งเสริมการลงทุนก็เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อช่วยปรับโครงสร้างเศรษฐกิจในระยะยาว.
นายลวรณระบุว่า ขณะนี้แหล่งเงินทุนสำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าวยังไม่มีการสรุปว่าจะมาจากการกู้เงินเพียงอย่างเดียวหรือไม่ เนื่องจากสามารถทำได้หลายวิธี ทั้งการเกลี่ยงบประมาณรายจ่ายประจำปี การนำงบประมาณสำหรับโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจเดิมที่ยังมีวงเงินเหลืออยู่ประมาณ 150,000 ล้านบาท มาใช้ หรือการนำเงินของสถาบันการเงินของรัฐมาปล่อยสินเชื่อเพื่อเติมสภาพคล่องเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ซึ่งหลังจากนี้จะต้องรอการสรุปรายละเอียดโครงการทั้งหมด ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นในเดือนถัดไป รวมถึงต้องติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจโลกอย่างใกล้ชิดต่อไป.
ในประเด็นเรื่องการขยายเพดานหนี้สาธารณะ ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 70% ของ GDP และมีการพูดถึงการขยายไปที่ 75-80% นั้น ปลัดกระทรวงการคลังมองว่าเรื่องเพดานหนี้ไม่ใช่สาระสำคัญหลัก เนื่องจากหลายประเทศก็มีระดับหนี้สาธารณะสูงถึง 80% หรือกระทั่ง 100% ของ GDP ก็ยังสามารถบริหารจัดการได้ดี สิ่งสำคัญคือการพิจารณาว่าเงินที่กู้มาจะนำไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์ใด และพิจารณาถึงความสามารถในการชำระคืนหนี้ในอนาคต โดยประมาณการว่าหากรัฐบาลเลือกที่จะกู้เงินจำนวน 5 แสนล้านบาท จะส่งผลให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ของไทยเพิ่มขึ้นประมาณ 3% เศษ จากปัจจุบันที่อยู่ที่ 64.21%