พิชัย เผย บอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจ 19 พ.ค. ยังไม่สรุป แย้มแผนใช้งบประมาณ วางกรอบ ดึงลงทุนต่างชาติ ฟื้นตลาดหุ้น
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เปิดเผยถึงความคืบหน้าภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ครั้งที่ 2 ประจำปี 2568 ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2568 โดยมี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม ณ ทำเนียบรัฐบาล
นายพิชัย ชี้แจงว่า การประชุมในวันนี้ยังไม่ได้ข้อสรุปในขั้นสุดท้าย โดยเป็นการพิจารณาและทบทวนแผนการใช้งบประมาณ รวมถึงการวางกรอบการดำเนินโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เพื่อให้ผู้รับผิดชอบได้นำไปพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบและมีความชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่งแต่ละโครงการหรือแต่ละประเด็นจะต้องมีผู้ดูแลรับผิดชอบโดยตรง ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องมีการประชุมเพิ่มเติมในครั้งต่อไปเพื่อหาข้อสรุปที่เหมาะสมที่สุด
นอกจากนี้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการสร้างความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจ เพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ โดยรัฐบาลจะต้องมีนโยบายที่เหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการของตลาดโลก โดยเฉพาะการส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ให้สามารถเติบโตควบคู่ไปกับการลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นใจให้แก่นักลงทุนในตลาดหุ้นไทยด้วย
นายพิชัย กล่าวถึงสถานการณ์ตลาดหุ้นไทยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาว่า มีการปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง จากระดับสูงสุดที่ประมาณ 1,700 จุด ลงมาอยู่ที่ประมาณ 1,200 จุด ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความไม่มั่นคงในตลาด อย่างไรก็ตาม หากประเทศไทยสามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้อย่างตรงจุด ดึงดูดการลงทุน สร้างการผลิต การจ้างงาน เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน กระตุ้นการบริโภค และผลักดันการส่งออกได้ ก็จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนทั้งชาวไทยและต่างชาติ ทำให้ตลาดหุ้นกลับมาคึกคักได้อีกครั้ง
สำหรับกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ส่งความเห็นถึงรัฐบาลเกี่ยวกับการออกโทเคนดิจิทัลเพื่อใช้จ่ายโครงการต่างๆ (G-Token) ว่ารัฐบาลจะต้องเตรียมเงินสำรองเต็มจำนวน (Fully Backed) นั้น นายพิชัยกล่าวยืนยันว่า การดำเนินการดังกล่าวกระทำอย่างถูกต้องตามกฎหมายแล้ว และไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณในการเตรียมเงินสำรองตามความเห็นของ ธปท. เนื่องจากไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันในลักษณะที่ต้องมีเงินสำรองเต็มจำนวน อีกทั้งยังไม่ต้องออกกฎหมายใหม่ เพราะคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ให้ความเห็นทางกฎหมายแล้วว่าสามารถดำเนินการได้