อสังหาฯ ภูเก็ต-พัทยา บูมแรง! ยอดขายทะลัก ดีเวลอปเปอร์กวาดรายได้ พันล้านบาท
กรุงเทพฯ – แม้จะเผชิญกับความไม่แน่นอนระดับโลกจากปัจจัยต่างๆ เช่น การประกาศภาษีนำเข้าของโดนัลด์ ทรัมป์ และเหตุการณ์แผ่นดินไหวในเมียนมาที่ส่งผลให้รู้สึกสั่นไหวถึงกรุงเทพฯ และอาคารสำนักงานตรวจสอบภาครัฐที่อยู่ระหว่างก่อสร้างได้ถล่มลงมา แต่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในภูเก็ตและพัทยากลับโดดเด่นขึ้นมาในฐานะแหล่งลงทุนที่น่าจับตามอง ทั้งสำหรับผู้ซื้อชาวไทยและชาวต่างชาติ
นายภัทรชัย ทวีวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร บริษัท คอลลิเออร์ส ประเทศไทย เปิดเผยกับสื่อมวลชนว่า ในช่วงไตรมาส 1 ปี 2568 มีการเปิดตัวโครงการบ้านพักตากอากาศและคอนโดมิเนียมใหม่ในภูเก็ตและพัทยารวมกว่า 50 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 61,500 ล้านบาท ซึ่งแสดงถึงความคึกคักของตลาดอย่างชัดเจน
ปรากฏการณ์ที่น่าสนใจคือ โครงการขนาดใหญ่ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำบางแห่ง สามารถปิดการขายโควตาสำหรับผู้ซื้อชาวต่างชาติที่ 49% ได้ภายในเวลาเพียง 3 ชั่วโมงเท่านั้น และยังมีผู้สนใจอยู่ในรายชื่อรอการจอง (waiting list) อีกกว่า 2,000 ราย แสดงให้เห็นถึงความต้องการที่สูงมาก
นอกจากนี้ ดีเวลอปเปอร์หลายรายรายงานยอดขายวิลล่าได้มากกว่า 20 ยูนิตภายในหนึ่งเดือน ขณะที่บางโครงการสามารถทำยอดขายรวมได้ถึง 50-70% ของทั้งโครงการภายในเวลาไม่ถึงเดือน สะท้อนถึงกำลังซื้อที่แข็งแกร่งจากทั้งนักลงทุนชาวไทยและชาวต่างชาติ
ตลาดคอนโดมิเนียมภูเก็ตยังคงร้อนแรงต่อเนื่องถึงปี 2569
ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในภูเก็ตทำผลงานได้ดีที่สุดในช่วงไตรมาส 1 ปี 2568 โดยได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวและนักลงทุนมองหาที่พักระยะยาวและการปล่อยเช่าระยะสั้น โดยเฉพาะในรูปแบบของวิลล่าตากอากาศ
มีการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ 11 โครงการ รวม 3,167 ยูนิต มูลค่า 25,800 ล้านบาท ทำเลหลักๆ ที่มีการเปิดตัวคือ บางเทา, เชิงทะเล, กะตะ และตัวเมืองภูเก็ต
“ตลาดบ้านพักตากอากาศในภูเก็ตมีช่วง Peak Season ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงมีนาคม ตามด้วยช่วง Low Season คาดว่าจะมีคอนโดมิเนียมใหม่เข้าสู่ตลาดอีกประมาณ 3,000 ยูนิต ส่วนใหญ่มาจากดีเวลอปเปอร์รายใหญ่” นายภัทรชัย กล่าว
สำหรับปี 2568 ตลาดภูเก็ตยังคงแข็งแกร่ง แม้ว่าซัพพลายใหม่จะลดลงเหลือประมาณ 8,000-10,000 ยูนิต เทียบกับปี 2566-2567 ที่มีกว่า 20,000 ยูนิต ทำเลยอดนิยมยังคงเป็น บางเทา, เชิงทะเล, ราไวย์, กะตะ, กะรน และตัวเมืองภูเก็ต
ดีเวลอปเปอร์ชื่อดังจากกรุงเทพฯ เริ่มให้ความสนใจกับตลาดคอนโดมิเนียมในภูเก็ตมากขึ้นสำหรับปี 2568-2569 โดยได้รับแรงหนุนจากการขายให้ผู้ซื้อชาวไทยและผู้ซื้อชาวต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่มเศรษฐีชาวรัสเซียในช่วงหลังโควิด-19
บ้านพักตากอากาศราคา 30-50 ล้านบาท ขายดีจัด!
ตลาดบ้านพักตากอากาศระดับไฮเอนด์ในภูเก็ตถือว่าร้อนแรงที่สุดในประเทศไทย ในไตรมาส 1 ปี 2568 มีการเปิดตัวใหม่ 35 โครงการ รวม 660 ยูนิต มูลค่า 23,300 ล้านบาท คิดเป็นราคาเฉลี่ยต่อยูนิตประมาณ 35 ล้านบาท วิลล่ากว่า 55% ตั้งอยู่ในพื้นที่เชิงทะเล ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากจากทั้งผู้ซื้อชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวรัสเซีย
ทำเลติดชายหาดที่ได้รับความนิยมสูง ได้แก่ ถลาง (บางเทา, สุรินทร์, ลายัน, เชิงทะเล), ตัวเมืองภูเก็ต (อ่าวฉลอง, ราไวย์) และกะทู้ (กมลา, ป่าตอง)
การแข่งขันในตลาดบ้านเดี่ยวราคา 30-50 ล้านบาทเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากที่ดินติดชายหาดเริ่มหายาก การพัฒนาจึงเริ่มขยับเข้าไปในพื้นที่ด้านในมากขึ้น ซึ่งราคาที่ดินถูกกว่าและมีความเป็นส่วนตัวสูงกว่า
“ตลาดภูเก็ตมีความคึกคักอย่างเห็นได้ชัด ข้อมูลยืนยันถึงศักยภาพในการเติบโตที่สูงขึ้น โดยมีดีเวลอปเปอร์รายใหญ่จำนวนมากที่มองหาโอกาสในการขยายการลงทุน ไม่ว่าจะลงทุนเองหรือร่วมทุนกับพันธมิตรในพื้นที่” นายภัทรชัย กล่าวเสริม
ตลาดลักชัวรีในพัทยาพุ่งสูงขึ้น
ในไตรมาส 1 ปี 2568 ตลาดคอนโดมิเนียมหรูในพัทยามียอดขายที่รวดเร็วอย่างน่าประหลาดใจ การเปิดตัวใหม่กระจุกตัวอยู่ใน 3 ทำเลหลัก ได้แก่ จอมเทียน, วงศ์อมาตย์ และพัทยากลาง มีการเปิดตัวรวม 7 โครงการ 2,386 ยูนิต มูลค่า 12,370 ล้านบาท
เมืองพัทยากลับมาโดดเด่นอีกครั้ง ด้วยแบรนด์ใหญ่จากกรุงเทพฯ และดีเวลอปเปอร์ท้องถิ่นที่มีชื่อเสียง เช่น ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้, ริเวียร่า กรุ๊ป, แสนสิริ และ แอสเซทไวส์
หลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในเมียนมาเมื่อวันที่ 28 มีนาคม โครงการ PTY Residence Sai 1 ของแสนสิริที่เพิ่งเปิดตัว ก็สามารถปิดการขายได้ภายใน 3 ชั่วโมง สร้างรายได้ 3,300 ล้านบาท จากผู้ซื้อชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยมีผู้สนใจอยู่ในรายชื่อรอการจองกว่า 2,000 ราย
“PTY ประสบความสำเร็จด้วยพลังของแบรนด์แสนสิริ และทำเลที่หายากใจกลางพัทยาติดชายหาด ซึ่งไม่มีการเปิดตัวคอนโดมิเนียมหรูใหม่ในทำเลนี้มานานกว่า 15 ปี ทำให้มีความต้องการที่อั้นมานาน (pent-up demand) สูงมาก”
คอนโดมิเนียมไฮเอนด์กลับสู่พัทยา
ปัจจุบันมีคอนโดมิเนียมในตลาดพัทยารวม 50,186 ยูนิต โดยมียอดขายแล้ว 74.54% (37,410 ยูนิต) และคงเหลือ 25.45% (12,776 ยูนิต) พัทยากลางมียอดขายสูงสุด (87.28%) ตามด้วยจอมเทียน (79.49%) และนาจอมเทียน (74.12%)
คอนโดมิเนียมติดชายหาดยังคงมีซัพพลายจำกัด และความต้องการที่แข็งแกร่งทำให้ยอดขายเป็นไปอย่างรวดเร็ว
“การเติบโตในพัทยามีการพัฒนาที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซัพพลายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยอดขายก็มีประสิทธิภาพ จอมเทียน, นาจอมเทียน และวงศ์อมาตย์ กลายเป็นศูนย์กลางสำคัญสำหรับคอนโดมิเนียมหรูและแบรนด์ดัง มูลค่าการเติบโตในระยะยาวสำหรับอสังหาริมทรัพย์พัทยามีแนวโน้มที่ดี” นายภัทรชัยสรุป