ฟิลิปปินส์ระอุ! ศึกเลือกตั้งกลางเทอม เดิมพันอำนาจ ‘มาร์กอส จูเนียร์’ ปะทะ ‘ซารา ดูแตร์เต’

มะนิลา, ฟิลิปปินส์ – การเลือกตั้งกลางเทอมในประเทศฟิลิปปินส์เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคมที่ผ่านมา เป็นไปอย่างคึกคัก ท่ามกลางบรรยากาศการต่อสู้ทางการเมืองที่ดุเดือดอย่างยิ่งระหว่างสองพันธมิตรทางการเมืองที่ครั้งหนึ่งเคยแข็งแกร่ง นั่นคือ ประธานาธิบดี เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ และรองประธานาธิบดี ซารา ดูแตร์เต บุตรสาวของอดีตประธานาธิบดี โรดริโก ดูแตร์เต

แม้ว่าชื่อของประธานาธิบดีมาร์กอส จูเนียร์ และรองประธานาธิบดีดูแตร์เต จะไม่ได้อยู่ในบัตรเลือกตั้งโดยตรง เนื่องจากการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 317 ที่นั่ง สมาชิกวุฒิสภาครึ่งหนึ่งจากทั้งหมด 24 ที่นั่ง (คือ 12 ที่นั่ง) รวมถึงตำแหน่งทางการเมืองในระดับจังหวัด เมือง และเทศบาลอีกกว่า 18,000 ตำแหน่ง ทว่าการแข่งขันชิงที่นั่งในวุฒิสภาทั้ง 12 ที่นั่ง กลับกลายเป็นสนามรบสำคัญที่สะท้อนความขัดแย้งลึกระหว่างผู้นำทั้งสอง

รายงานของรอยเตอร์ระบุว่า ผู้นำทั้งสองฝ่ายต่างทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อผลักดันผู้สมัครรับเลือกตั้งวุฒิสภาในสายของตนเข้าสู่สภาให้ได้มากที่สุด เนื่องจากวุฒิสภาถือเป็นสภาที่มีอิทธิพลอย่างยิ่งในด้านนิติบัญญัติ การเมือง และการกำหนดความคิดเห็นของประชาชน โดยศาสตราจารย์ เอรีส์ อารูเกย์ จากมหาวิทยาลัยฟิลิปปินส์ ให้ความเห็นว่า การแข่งขันในวุฒิสภาครั้งนี้เปรียบเสมือนการต่อสู้ของตัวแทนที่สำคัญ และประธานาธิบดีมาร์กอส จูเนียร์ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้เสียงข้างมากในวุฒิสภา เพื่อขับเคลื่อนวาระด้านนิติบัญญัติและนโยบายเศรษฐกิจที่วางไว้

ความไม่ลงรอยระหว่างประธานาธิบดีมาร์กอส จูเนียร์ และรองประธานาธิบดีซารา ดูแตร์เต เริ่มปรากฏชัดเจนขึ้นหลังจากที่นางดูแตร์เตถูกกล่าวหาว่าข่มขู่จะลอบสังหารประธานาธิบดี และถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับการใช้งบประมาณของรัฐจำนวนหลายล้านดอลลาร์สหรัฐในทางที่ผิดเมื่อปี 2567 เหตุการณ์นี้นำไปสู่การที่นางดูแตร์เตกลายเป็นรองประธานาธิบดีคนแรกของฟิลิปปินส์ที่ถูกยื่นเรื่องถอดถอนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2568 แม้ว่าเธอจะยังคงดำรงตำแหน่งต่อไปในระหว่างรอคำตัดสินขั้นสุดท้ายจากวุฒิสภา

สถานการณ์การเมืองที่ร้อนแรงยังซับซ้อนยิ่งขึ้น เมื่อนายโรดริโก ดูแตร์เต อดีตประธานาธิบดีและบิดาของนางซารา ดูแตร์เต ยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมตัว หลังจากที่ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ได้ออกหมายจับในข้อหากระทำอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ จากการใช้ความรุนแรงในการปราบปรามสงครามยาเสพติดในช่วงที่เขายังดำรงตำแหน่ง

การเลือกตั้งกลางเทอมครั้งนี้ จึงไม่ใช่แค่การเลือกผู้แทนตามปกติ แต่เป็นบททดสอบสำคัญของดุลอำนาจทางการเมืองในฟิลิปปินส์ และเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงทิศทางความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำสูงสุดทั้งสอง ที่อาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพและการบริหารประเทศในอนาคต โดยมีผู้มีสิทธิออกเสียงราว 68 ล้านคนจากประชากรทั่วประเทศกว่า 110 ล้านคน เป็นผู้กำหนดผลลัพธ์สุดท้าย.

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *