กระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ยังคงร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง และจุดที่ถูกจับตามองเป็นพิเศษในขณะนี้ หนีไม่พ้น ‘กระทรวงมหาดไทย’ ซึ่งถือเป็นกระทรวงสำคัญที่เป็นโควตาหลักของพรรคภูมิใจไทย ท่ามกลางความตึงเครียดที่ปรากฏขึ้นระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย

นักวิเคราะห์ทางการเมืองชี้ว่า แม้พรรคภูมิใจไทยจะมีจำนวน ส.ส. ถึง 69 เสียง แต่ในบริบทของรัฐบาลปัจจุบันที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ และยังคงผนึกกำลังอย่างเหนียวแน่นกับพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ โดยเฉพาะพรรคอันดับ 3 อย่างพรรครวมไทยสร้างชาติที่มี 36 เสียง และมีความสัมพันธ์อันดีกับพรรคเพื่อไทย ส่งผลให้พรรคภูมิใจไทยตกอยู่ในสถานการณ์ที่ค่อนข้างโดดเดี่ยว

สถานการณ์นี้ทำให้นักวิเคราะห์หลายฝ่ายมองว่า พรรคภูมิใจไทยไม่มีอำนาจต่อรองที่เหนือกว่าพรรคเพื่อไทยอย่างมีนัยสำคัญ แม้ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นอาจส่งผลให้การขับเคลื่อนนโยบายบางอย่างของรัฐบาลไม่ราบรื่นนัก แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่จะทำให้รัฐบาลพรรคเพื่อไทยต้องล้มคว่ำลงได้ เพราะหากมองในแง่จำนวนเสียง หากพรรคภูมิใจไทยถอนตัวออกจากรัฐบาล รัฐบาลก็จะยังคงมีเสียงสนับสนุนเพียงพอ (ประมาณ 322 เสียง ลบ 69 เสียง ยังคงมากกว่า 250 เสียงซึ่งเป็นกึ่งหนึ่งของสภาฯ)

ด้วยเหตุนี้เอง จึงมีกระแสคาดการณ์ว่า แทนที่พรรคเพื่อไทยจะผลักพรรคภูมิใจไทยออกไปจากรัฐบาลโดยสิ้นเชิง พรรคเพื่อไทยอาจเลือกใช้ ‘สูตรการรุกกดดัน’ ในการปรับ ครม. ครั้งนี้ ซึ่งนำมาสู่ข่าวลือที่ว่า พรรคเพื่อไทยอาจพยายาม ‘ยึดคืน’ กระทรวงมหาดไทย และเสนอการสับเปลี่ยนกระทรวงอื่นให้กับหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยแทน

อย่างไรก็ตาม หากการเจรจาต่อรองเรื่องการปรับกระทรวงไม่เป็นผล และนำไปสู่ความแตกหัก การถอนตัวของพรรคภูมิใจไทยก็จะไม่ส่งผลให้ต้องมีการยุบสภาแต่อย่างใดตามการวิเคราะห์จำนวนเสียงในสภาฯ

ในส่วนของไทม์ไลน์การปรับ ครม. นั้น ยังไม่เร่งด่วนขนาดที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า คาดว่าอาจอยู่ในช่วงปลายเดือนพฤษภาคมหรือต้นเดือนกรกฎาคม ซึ่งในช่วงเวลานี้ อะไรก็ยังสามารถเกิดขึ้นได้ รวมถึงความเป็นไปได้ที่จะมีการพูดคุยและคลี่คลายความขัดแย้งลงได้ก่อนที่จะถึงขั้นแตกหัก

แต่หากมองในแง่ของความจำเป็นในการสร้างผลงานของรัฐบาลในช่วงท้ายวาระ เพื่อไทยมีความต้องการกระทรวงมหาดไทยอย่างยิ่งยวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อผลักดันนโยบายปราบปรามยาเสพติดให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้

กระทรวงมหาดไทยเป็นกระทรวงที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องกับประชาชนโดยตรง มีเครือข่ายการปกครองที่แผ่ขยายไปทั่วทุกพื้นที่ในประเทศ ตั้งแต่ระดับจังหวัด อำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘กรมการปกครอง’ ที่กุมกลไกสำคัญอย่างผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ กำนัน และผู้ใหญ่บ้าน

กลไกเหล่านี้มีความสำคัญอย่างมากในการประสานงานเพื่อปราบปรามยาเสพติด เมื่อทำงานร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ เช่น กองทัพ ตำรวจท้องที่ ตำรวจปราบปรามยาเสพติด รวมถึง ป.ป.ส. ของกระทรวงยุติธรรม จะทำให้เป้าหมายการแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยเฉพาะยาบ้า ซึ่งพรรคเพื่อไทยประกาศไว้ว่าจะต้องหมดไปในปีนี้ มีโอกาสความเป็นจริงได้มากขึ้น

ดังนั้น ในทางการเมืองเรื่องการปรับ ครม. ยังคงต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิดถึงผลลัพธ์ของการเจรจาต่อรอง แต่ในแง่ของการสนองนโยบายและกลไกการทำงาน พรรคเพื่อไทยมีความต้องการกระทรวงมหาดไทยอย่างแน่นอน