ร้อนฉ่า! คุณสมบัติ ‘พีระพันธุ์’ โดนร้อง ป.ป.ช.-ผู้ตรวจการฯ เทียบเคส ‘พิชิต’ ลุ้นกระทบนายกฯ ‘แพทองธาร’ หรือไม่?

ประเด็นร้อนทางการเมืองที่กำลังถูกจับตาอย่างใกล้ชิดในขณะนี้ คือ คุณสมบัติของ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ที่ถูกยื่นเรื่องร้องเรียนต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. และผู้ตรวจการแผ่นดิน ซึ่งมีเป้าหมายในการส่งเรื่องต่อไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย

ประเด็นสำคัญที่ถูกนำมาใช้ในการร้องเรียนครั้งนี้ คือ การกล่าวหาว่านายพีระพันธุ์ยังคงถือหุ้นในบริษัทเอกชน 3 แห่ง ซึ่งผู้ร้องเห็นว่าอาจเข้าข่ายขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ และเป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง

สถานการณ์นี้ทำให้เกิดคำถามและข้อสังเกตตามมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นที่ว่า หากนายพีระพันธุ์ถูกวินิจฉัยว่ามีคุณสมบัติต้องห้ามจริง จะส่งผลกระทบถึงตำแหน่งของ นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร หรือไม่?

กรณีนี้ถูกนำไปเปรียบเทียบกับกรณีของ นายพิชิต ชื่นบาน อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่คุณสมบัติถูกตรวจสอบ และส่งผลให้นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น คือ นายเศรษฐา ทวีสิน ต้องพ้นจากตำแหน่ง

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาในรายละเอียด พบว่าทั้งสองกรณีมีความแตกต่างกันอยู่

ในกรณีของนายพีระพันธุ์ การถูกร้องต่อ ป.ป.ช. เป็นการระบุว่ามีการถือหุ้นในบริษัทเอกชน 3 แห่ง และขอให้ไต่สวนว่าการกระทำดังกล่าวผิดรัฐธรรมนูญและฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรงหรือไม่ หลังจากมีการยื่นเรื่องร้องเรียน ข้อมูลเกี่ยวกับประเด็นนี้ก็ถูกขุดคุ้ยและนำมาตีแผ่ ซึ่งผู้ที่ติดตามสถานการณ์ทางการเมืองมองว่า เป็นเรื่องที่น่ากังวล

ในระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรที่จังหวัดนครพนม นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ได้ถูกผู้สื่อข่าวสอบถามถึงเรื่องนี้ ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่าในวันดังกล่าว นายพีระพันธุ์ไม่ได้เข้าร่วมการประชุม ครม.สัญจร

นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ได้ให้สัมภาษณ์ โดยย้ำถึงกระบวนการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่า เป็นไปอย่างเข้มข้นมาก ต้องผ่านขั้นตอนการตรวจสอบของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ซึ่งต้องอาศัยหน่วยงานต่างๆ เข้ามาช่วยพิจารณา และยืนยันว่าทุกคนต้องผ่านการตรวจสอบนี้จึงจะสามารถได้รับการเสนอชื่อได้

คำกล่าวของนายกรัฐมนตรีนี้ตีความได้ว่า ในมุมของรัฐบาล นายพีระพันธุ์ได้ผ่านขั้นตอนการตรวจสอบคุณสมบัติที่จำเป็นแล้ว โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายแห่ง ก่อนที่จะมีการนำชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ

นั่นอาจหมายความว่า ข้อมูลเกี่ยวกับการถือครองหุ้นในบริษัทเอกชนตามที่ถูกกล่าวหา เป็นข้อมูลที่นายกรัฐมนตรีอาจไม่ได้รับรู้มาก่อนในขั้นตอนการตรวจสอบเบื้องต้น

ความแตกต่างตรงนี้เองที่ทำให้กรณีของนายพีระพันธุ์ต่างจากกรณีของนายพิชิตอย่างชัดเจน

ในกรณีของนายพิชิต ข้อมูลเกี่ยวกับการที่เคยต้องโทษจำคุกในข้อหาละเมิดอำนาจศาลนั้น เป็นที่เปิดเผยและรับทราบกันโดยทั่วไป แต่มีการตีความทางกฎหมายว่า การจำคุกในข้อหาละเมิดอำนาจศาลนั้น ไม่น่าจะเข้าข่ายเป็นลักษณะต้องห้าม เนื่องจากไม่ใช่ความผิดทางอาญา จึงมีการเสนอชื่อเป็นรัฐมนตรี แต่ต่อมาเมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย กลับมองว่าการจำคุกดังกล่าวถือเป็นคุณสมบัติต้องห้าม ซึ่งส่งผลกระทบต่อนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น

สำหรับกรณีของนายพีระพันธุ์ ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ในระหว่างการตรวจสอบ และยังไม่ทราบผลที่แน่ชัด แต่ข้อแตกต่างที่สำคัญคือ ประเด็นการถือหุ้นตามที่ถูกกล่าวหาดูเหมือนจะไม่ปรากฏหรือเปิดเผยมาก่อนในขั้นตอนการกรอกประวัติเพื่อตรวจสอบคุณสมบัติ ซึ่งตามระเบียบจะต้องมีการระบุถึงการไม่เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัท

ดังนั้น ข้อมูลเรื่องการถือหุ้นจึงเป็นประเด็นที่เพิ่งถูกนำมาเปิดเผยหลังจากการยื่นเรื่องร้องเรียน

คงต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิดว่า ผลการไต่สวนของ ป.ป.ช. จะเป็นอย่างไร และจะนำไปสู่การวินิจฉัยคุณสมบัติของนายพีระพันธุ์หรือไม่

ส่วนผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร นั้น แม้จะต้องลุ้นเช่นกัน แต่ด้วยข้อเท็จจริงที่ว่าประเด็นการถือหุ้นอาจเป็นข้อมูลที่ไม่ปรากฏในขั้นตอนการตรวจสอบเบื้องต้น ก็อาจทำให้สถานการณ์และผลลัพธ์มีความแตกต่างจากกรณีของนายพิชิต ชื่นบาน ที่ข้อมูลเคยถูกเปิดเผยมาแล้วแต่มีการตีความทางกฎหมายที่ต่างไป

(โดย วงค์ ตาวัน – อ้างอิงจากบทวิเคราะห์)

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *