สบน. แจงเหตุ มูดี้ส์ ปรับลดมุมมองเครดิตไทย ชี้ปัจจัยภายนอก ‘ภาษีทรัมป์’ ย้ำฐานะการคลังยังแข็งแกร่ง

กรุงเทพฯ 29 เมษายน 2568 – นายพชร อนันตศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ได้เปิดเผยถึงกรณีที่บริษัทจัดอันดับเครดิต มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส (Moody’s) ได้รายงานผลการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย โดยคงอันดับความน่าเชื่อถือไว้ที่ระดับ Baa1 แต่ได้ปรับมุมมองความน่าเชื่อถือไทยจากเชิงบวก (Positive Outlook) เป็นเชิงลบ (Negative Outlook) เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา

นายพชร ชี้แจงว่า การปรับมุมมองในครั้งนี้ มีสาเหตุหลักมาจากปัจจัยความเสี่ยงภายนอกประเทศ โดยเฉพาะความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นจากนโยบายการจัดเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ซึ่งเป็นนโยบายที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา อาจนำมาใช้ นโยบายดังกล่าวส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการค้าและการเติบโตทางเศรษฐกิจทั้งในระดับโลก ซึ่งเป็นปัจจัยที่อยู่เหนือการควบคุมของรัฐบาลไทย และยังไม่สามารถประเมินระยะเวลาหรือความรุนแรงได้อย่างชัดเจน

นายพชร ยังได้รายงานความเห็นของ มูดี้ส์ เกี่ยวกับฐานะการเงินต่างประเทศ ภาวะเศรษฐกิจไทย ภาคการคลัง และความท้าทายเชิงโครงสร้างของประเทศ ดังนี้

  • ภาคการเงินต่างประเทศ: ประเทศไทยยังคงมีฐานะการเงินต่างประเทศที่แข็งแกร่ง และมีทุนสำรองระหว่างประเทศในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง โดย ณ เดือนมีนาคม 2568 มีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศกว่า 2.15 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ
  • เสถียรภาพทางการเงิน: ไทยยังคงมีความแข็งแกร่ง แม้ว่าภาระหนี้สาธารณะจะเพิ่มขึ้นหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตลาดทุนและตลาดตราสารหนี้ในประเทศมีความพร้อม หนี้สาธารณะส่วนใหญ่เป็นสกุลเงินบาท และมีอายุเฉลี่ยของหนี้ค่อนข้างยาว ซึ่งเอื้อต่อการบริหารจัดการ
  • ภาวะเศรษฐกิจไทย: การเติบโตของเศรษฐกิจยังช้ากว่าประเทศในกลุ่มอันดับความน่าเชื่อถือเดียวกันนับตั้งแต่โควิด-19 และยังคงมีความอ่อนไหวต่อเหตุการณ์ที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้
  • ภาคการคลัง: รัฐบาลดำเนินนโยบายขาดดุลต่อเนื่องเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัว แต่การประกาศใช้นโยบายการค้าของสหรัฐฯ มีแนวโน้มกระทบการค้าโลกและเศรษฐกิจไทย อาจทำให้การเข้าสู่สมดุลทางการคลังล่าช้ากว่าคาด
  • ความท้าทายเชิงโครงสร้าง: ประเทศไทยกำลังเผชิญสังคมผู้สูงอายุ การเติบโตของผลิตภาพการผลิตต่ำ และขีดความสามารถในการแข่งขัน

ผู้อำนวยการ สบน. ยืนยันว่า รัฐบาลกำลังดำเนินการเจรจาและกำหนดมาตรการเพื่อรองรับผลกระทบจากภาษีศุลกากรตอบโต้ของสหรัฐฯ ทั้งในระยะสั้น กลาง และยาว อาทิ การลดภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ควบคุมการสวมสิทธิ์แหล่งกำเนิดสินค้า และเจรจาข้อตกลงทางการค้ากับประเทศอื่นเพื่อบรรเทาผลกระทบ

นอกจากนี้ สบน. มองว่าภาคการคลังเศรษฐกิจไทยมีความจำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากนโยบายภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ อาจทำให้เศรษฐกิจไทยชะลอตัวลงและกระทบการจัดเก็บรายได้ภาษี อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้วางแผนปฏิรูปโครงสร้างภาษีเพื่อเพิ่มรายได้ภาครัฐ ลดภาระทางการคลังในระยะปานกลางและยาว รวมถึงเพิ่มพื้นที่ทางการคลังในอนาคต

นายพชร เน้นย้ำว่า ประเทศไทยยังมีสถาบันเศรษฐกิจและธรรมาภิบาลที่แข็งแกร่งในระดับปานกลางถึงสูง มีความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงินการคลังอย่างรอบคอบ การบริหารจัดการหนี้สาธารณะมีวินัย หนี้เกือบทั้งหมดเป็นสกุลเงินบาท ทำให้ไม่มีความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน และตลาดทุนภายในประเทศสามารถรองรับความต้องการกู้เงินได้อย่างเพียงพอ

ด้านภาคการลงทุน ประเทศไทยยังคงสนับสนุนการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) โดยในปี 2567 มีมูลค่าคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนสูงสุดในรอบ 10 ปี และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง รัฐบาลยังลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทั่วประเทศ รวมถึงพื้นที่สำคัญอย่าง EEC ขณะที่ภาคการท่องเที่ยว แม้ Q1/2568 จะกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวบ้าง แต่คาดว่าจะฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังของปี 2568

สบน. ย้ำว่า รัฐบาลดำเนินนโยบายเศรษฐกิจมหภาคอย่างรอบคอบ มีการเตรียมมาตรการรองรับความไม่แน่นอนด้านการค้าการลงทุนต่อเนื่อง มีแผนปฏิรูปโครงสร้างรายได้ภาครัฐและแผนเข้าสู่สมดุลทางการคลังระยะปานกลางที่กำลังเร่งดำเนินการ เศรษฐกิจไทยมีพื้นฐานแข็งแกร่งทั้งจากเงินทุนสำรองสูง การส่งออกหลากหลาย และ FDI ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

การปรับมุมมองครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจมหภาคหรือเสถียรภาพทางการคลังของประเทศ แต่มาจากปัจจัยภายนอก สบน. จะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมดำเนินมาตรการที่เหมาะสมเพื่อรักษาเสถียรภาพและฐานะทางเครดิตของประเทศต่อไป

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *