คพ. ออกกฎเหล็กคุมนำเข้า ‘เศษกระดาษ’ ห้ามปนเปื้อนขยะ สกัดช่องโหว่ปกป้องสิ่งแวดล้อม

กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) ประกาศใช้ ‘หลักเกณฑ์การพิจารณาระดับสิ่งปะปนของเศษกระดาษที่จะนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2568’ ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2568 เป็นต้นไป เพื่อควบคุมการนำเข้าเศษกระดาษอย่างเข้มงวด หวังป้องกันปัญหาขยะและสิ่งปนเปื้อนผิดกฎหมายที่มักแฝงมาพร้อมกับเศษกระดาษ ทำลายสิ่งแวดล้อมและกระทบต่ออุตสาหกรรมรีไซเคิลในประเทศ

น.ส.ปรีญาพร สุวรรณเกษ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมกระดาษในประเทศไทยมีความต้องการวัตถุดิบสูง ทั้งเพื่อการบริโภคในประเทศและการผลิตบรรจุภัณฑ์ส่งออก ทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบ โดยเฉพาะกระดาษเยื่อใยยาวที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศในรูปแบบ ‘กระดาษที่ใช้แล้วจากต่างประเทศ หรือ กระดาษหรือกระดาษแข็งที่นำกลับคืนมาใช้ได้อีก’ ตามพิกัดอัตราศุลกากร ประเภท 47.07

ที่ผ่านมา การตรวจสอบร่วมกันระหว่าง คพ. กรมศุลกากร และกรมโรงงานอุตสาหกรรม พบปัญหาตู้สินค้าที่สำแดงเป็นเศษกระดาษ แต่ภายในกลับมีวัสดุอื่น ๆ ปะปนมาเป็นจำนวนมาก อาทิ โฟม เศษพลาสติก เศษผ้า กระป๋องน้ำอัดลม อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงขยะอันตรายและมูลฝอยติดเชื้อ เช่น ผ้าอ้อมและถุงมือทางการแพทย์ใช้แล้ว ซึ่งเข้าข่ายเป็น ‘ขยะเทศบาล’ ซึ่งเป็นสินค้าต้องห้ามนำเข้าและห้ามนำผ่าน ตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ ลงวันที่ 29 พฤษภาคม 2562 ภายใต้ พ.ร.บ. การส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. 2522

เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวและสร้างความชัดเจนให้แก่หน่วยงานกำกับดูแลและภาคเอกชน คพ. จึงได้ตั้งคณะทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกรมโรงงานอุตสาหกรรม กรมศุลกากร กรมการค้าต่างประเทศ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสถาบันการจัดการบรรจุภัณฑ์และรีไซเคิลเพื่อสิ่งแวดล้อม เพื่อกำหนดมาตรการและหลักเกณฑ์การนำเข้า

หลักเกณฑ์ใหม่ ‘หลักเกณฑ์การพิจารณาระดับสิ่งปะปนของเศษกระดาษที่จะนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2568’ ที่ประกาศใช้ มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อควบคุมการนำเข้าเศษกระดาษอย่างมีประสิทธิภาพ ป้องกันผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมการใช้ทรัพยากรหมุนเวียนตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และอิงจากมาตรฐานของสหภาพยุโรป

สาระสำคัญของหลักเกณฑ์นี้ คือ การกำหนดสิ่งต้องห้ามเด็ดขาด ได้แก่ สารเคมีอันตราย วัตถุอันตราย กัมมันตภาพรังสี มูลฝอยติดเชื้อ และขยะพิษจากชุมชน ขณะเดียวกัน ก็กำหนดร้อยละของสิ่งปะปนอื่น ๆ ที่ไม่ใช่กระดาษ เช่น พลาสติก โลหะ แก้ว วัสดุสังเคราะห์ ไม้ ดิน เป็นต้น โดยต้องมีสิ่งปนเปื้อนเหล่านี้ไม่เกินร้อยละ 2 สำหรับเศษกระดาษที่แยกชนิดแล้ว (เช่น กระดาษคราฟท์ กระดาษขาว กระดาษหนังสือพิมพ์ ตามพิกัด 47.07.10, 47.07.20, 47.07.30) และไม่เกินร้อยละ 3 สำหรับเศษกระดาษรวม (ตามพิกัด 47.07.90)

การออกกฎเหล็กฉบับนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญของประเทศไทยในการจัดการของเสียนำเข้าให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดปัญหาการลักลอบนำเข้าขยะภายใต้หน้ากากของเศษกระดาษ และสนับสนุนการดำเนินงานของภาคอุตสาหกรรมรีไซเคิลอย่างยั่งยืน

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *