การท่าเรือฯ โชว์ผลประกอบการแกร่ง ครึ่งปีแรกกำไรพุ่ง 3.5 พันล้าน เดินหน้าเร่งแหลมฉบัง เฟส 3

กรุงเทพฯ – การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ประกาศผลประกอบการที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง โดยในครึ่งปีแรกของปีงบประมาณ 2568 (ตุลาคม 2567 – มีนาคม 2568) สามารถทำกำไรสุทธิสูงถึง 3,500 ล้านบาท ตอกย้ำศักยภาพและความพร้อมในการรองรับการเติบโตของภาคการขนส่งและโลจิสติกส์ของประเทศ พร้อมกันนี้ยังเร่งเดินหน้าโครงการพัฒนาท่าเรือสำคัญ โดยเฉพาะท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 เพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐานทางทะเลของไทย

นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยในงานฉลองครบรอบ 74 ปี กทท. ว่า กทท. ได้มีการพัฒนาท่าเรือทั้ง 5 แห่งอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับปริมาณการขนส่งสินค้าที่เพิ่มขึ้น และได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยี และระบบบริหารจัดการให้ทันสมัย สอดคล้องกับนโยบาย “คมนาคมเพื่อโอกาสประเทศไทย” และแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนตามหลัก ESG ซึ่งถือเป็นบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ และเชื่อมโยงประเทศไทยกับเศรษฐกิจโลก

ด้านนายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการ กทท. กล่าวเสริมว่า กทท. ได้วางวิสัยทัศน์ในการขับเคลื่อนองค์กรด้วยแนวคิด 3 Smart ได้แก่ Smart Port ที่เน้นยกระดับบริการด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม, Smart Commercial พัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจหลังท่าให้เป็นย่านธุรกิจใหม่ และ Smart Community พัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชนรอบท่าเรือให้เติบโตไปด้วยกัน

สำหรับผลประกอบการที่ผ่านมา นายเกรียงไกร ระบุว่า ปีงบประมาณ 2567 กทท. มีรายได้รวม 17,224 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 7,648 ล้านบาท ซึ่งมีการเติบโตต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน ส่วนผลประกอบการครึ่งปีแรกของปีงบประมาณ 2568 (ตุลาคม 2567 – มีนาคม 2568) มีกำไรสุทธิถึง 3,500 ล้านบาท

ในแง่ปริมาณการขนส่งสินค้า ช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 พบว่า มีเรือเทียบท่าที่ท่าเรือกรุงเทพและท่าเรือแหลมฉบังรวม 7,371 เที่ยว เพิ่มขึ้น 1.95% มีสินค้าผ่านท่ารวม 61.68 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 5.10% และตู้สินค้าผ่านท่ารวม 5.56 ล้าน ที.อี.ยู. เพิ่มขึ้น 5.35% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ผู้อำนวยการ กทท. ยังกล่าวถึงการเติบโตที่โดดเด่นของท่าเรือระนอง ซึ่งมีสินค้านำเข้า-ส่งออกเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว โดยเฉพาะข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ผลิตภัณฑ์สุขภัณฑ์ และสินค้าอุปโภคบริโภค เป็นผลมาจากการขยายตัวของอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ที่เชื่อมโยงกับประเทศเมียนมา ทำให้ปริมาณเรือเทียบท่าเพิ่มขึ้นถึง 49% (131 เที่ยว), ตู้สินค้าผ่านท่าเพิ่มขึ้น 371% (3,170 ตู้) และสินค้าผ่านท่าเพิ่มขึ้น 16% (79,810 ตัน) ในช่วง 6 เดือนแรกของปีงบฯ 2568

นอกจากนี้ โครงการสัตว์ส่งออกมีชีวิตที่ท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน ก็มีส่วนช่วยสนับสนุนเกษตรกรในพื้นที่ โดยในช่วง 6 เดือนแรก มีการส่งออกสุกรรวม 1,964 ตัว ซึ่งส่งผลดีต่อผลประกอบการโดยรวมของ กทท.

สำหรับโครงการสำคัญที่กำลังเร่งดำเนินการ ได้แก่ โครงการพัฒนา “ท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3” ซึ่งปัจจุบันงานทางทะเลมีความคืบหน้าแล้ว 68.3% ขณะที่งานก่อสร้างส่วนอื่น ๆ เช่น อาคาร ท่าเรือ ระบบถนน และสาธารณูปโภค ได้เริ่มดำเนินการแล้ว ส่วนงานระบบรถไฟและอุปกรณ์ขนถ่ายสินค้า อยู่ระหว่างขั้นตอนการจัดทำเอกสาร TOR และว่าจ้างที่ปรึกษา

โครงการพัฒนาท่าเรือบก (Dry Port) ซึ่งเลือกจังหวัดขอนแก่นเป็นพื้นที่นำร่อง ก็อยู่ระหว่างการศึกษาโมเดลการลงทุนที่เหมาะสม โดยมีแผนจะขยายผลไปยังจังหวัดสำคัญอื่น ๆ เช่น นครราชสีมา นครสวรรค์ รวมถึงพื้นที่ตามแนวรถไฟในภาคกลางตอนล่างอย่างพระนครศรีอยุธยาและราชบุรี

ในประเด็นผลกระทบจากมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐอเมริกา นางมนพร เจริญศรี กล่าวว่า รัฐบาลไทยได้เตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่และอยู่ระหว่างรอการนัดหมายเพื่อเจรจากับทางสหรัฐฯ

นายเกรียงไกร ชี้ว่า หลังจากที่มีการประกาศแนวโน้มการปรับขึ้นภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ (36%) ทำให้ผู้ประกอบการเร่งการขนส่งสินค้าทั้งนำเข้าและส่งออกในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้ภาพรวมปริมาณการขนส่งในครึ่งปีแรกสูงกว่าปกติ อย่างไรก็ตาม ข้อน่ากังวลคือหากมีการปรับขึ้นภาษีจริง อาจส่งผลให้การส่งออกลดลงในอนาคต ซึ่งรัฐบาลไทยกำลังเร่งเจรจาเพื่อลดผลกระทบดังกล่าว

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *