รมช.คลัง ‘เผ่าภูมิ’ หารือ IFC ชู 5 ยุทธศาสตร์ ดึงลงทุนหนุนเอกชนไทยโตยั่งยืน
วอชิงตัน ดี.ซี., สหรัฐอเมริกา – นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้เข้าหารืออย่างเป็นทางการกับ นาย Riccardo Puliti รองประธานบรรษัทการเงินระหว่างประเทศ (International Finance Corporation: IFC) ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ประเทศสหรัฐอเมริกา การพบปะครั้งนี้มีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทย และแสวงหาแนวทางในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างสองฝ่ายในประเด็นเชิงยุทธศาสตร์
IFC เป็นองค์กรระหว่างประเทศภายใต้กลุ่มธนาคารโลก ที่มีบทบาทหลักในการส่งเสริมการเติบโตของภาคเอกชนในประเทศสมาชิกที่เป็นประเทศกำลังพัฒนา โดยให้การสนับสนุนทั้งด้านการเงิน เทคนิค และองค์ความรู้ด้านการบริหารจัดการ เพื่อช่วยเพิ่มโอกาสและขับเคลื่อนการลงทุนในตลาดเกิดใหม่ โดยไม่ต้องอาศัยการค้ำประกันจากภาครัฐ
ในการหารือ รมช.คลัง และรองประธาน IFC ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการร่วมมือใน 5 ยุทธศาสตร์หลัก ซึ่งถือเป็นแกนกลางในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนและครอบคลุม ได้แก่:
- ภาคธุรกิจเพื่อสภาพภูมิอากาศ (Climate Business): มุ่งส่งเสริมการลงทุนในโครงการและธุรกิจที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สนับสนุนพลังงานสะอาด และส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ
- สนับสนุนเสถียรภาพและการเติบโตในสถานการณ์ที่เปราะบางและได้รับผลกระทบจากความขัดแย้ง (Fragile and Conflict – Affected Situations (FCS)): แม้ไทยไม่ได้อยู่ในกลุ่ม FCS โดยตรง แต่ความร่วมมือนี้อาจเกี่ยวข้องกับการสนับสนุนภาคเอกชนในบริบทภูมิภาค หรือประเด็นที่เชื่อมโยงกับความมั่นคงทางเศรษฐกิจในสถานการณ์ที่ท้าทายต่างๆ
- ความเท่าเทียมทางเพศและเศรษฐกิจที่ครอบคลุม (Gender Equality and Economic Inclusion): ส่งเสริมการลงทุนที่สร้างโอกาส ลดความเหลื่อมล้ำ และสนับสนุนการมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจของทุกกลุ่ม โดยเฉพาะสตรีและกลุ่มเปราะบาง
- การระดมทุนภาคเอกชน เพื่อบรรลุเป้าหมาย SDGs: ใช้กลไกและเครือข่ายของ IFC ในการดึงดูดและระดมทุนจากภาคเอกชนทั่วโลก เพื่อสนับสนุนโครงการที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs)
- ความยั่งยืนเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐาน ESG: ผลักดันให้ภาคเอกชนไทยนำมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) มาใช้ในการดำเนินธุรกิจอย่างจริงจัง ผ่านกลไกการสนับสนุนทางการเงินที่หลากหลายจาก IFC เช่น สินเชื่อโดยตรง (Direct Loans), การให้สินเชื่อร่วมกับธนาคารพาณิชย์ (Syndicated Loans) รวมถึงการเข้าไปลงทุนโดยตรงผ่านการซื้อหุ้นในบริษัทเอกชน
ดร.เผ่าภูมิ ยังได้กล่าวถึงพัฒนาการที่น่าสนใจของความร่วมมือระหว่างไทยกับ IFC โดยมูลค่าการลงทุนของ IFC ในประเทศไทยได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ถึงกว่า 4 เท่าตัวภายในระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพและความเชื่อมั่นที่มีต่อเศรษฐกิจไทยอย่างชัดเจน โดยในปี 2567 นี้ IFC มีสัดส่วนการลงทุนในภาคสถาบันการเงินสูงสุด คิดเป็นร้อยละ 58.1 รองลงมาคือภาคโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure: INR) คิดเป็นร้อยละ 18.8 ซึ่งการลงทุนส่วนใหญ่เป็นการสนับสนุนภาคเอกชนโดยตรง
ในตอนท้าย ดร.เผ่าภูมิ ได้เน้นย้ำถึงบทบาทของ IFC ในฐานะพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ที่สำคัญอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจไทยผ่านการสนับสนุนภาคเอกชน พร้อมแสดงความมุ่งมั่นและความพร้อมของประเทศไทยในการขยายขอบเขตความร่วมมือกับ IFC ในทั้ง 5 ยุทธศาสตร์ดังกล่าว เพื่อร่วมกันสร้างการเติบโตที่แข็งแกร่ง ยั่งยืน และครอบคลุมสำหรับประเทศไทยต่อไป