ศึกชิงมรดกเงินบริจาค ‘น้องแพน’ 4.8 ล้าน! พ่อแท้ๆ ร้องศาลขอเป็นผู้จัดการฯ – ทนายชี้ขาดสิทธิ์?
ศึกชิงมรดกเงินบริจาค ‘น้องแพน’ 4.8 ล้าน! พ่อแท้ๆ ร้องศาลขอเป็นผู้จัดการฯ – ทนายชี้ขาดสิทธิ์?
ระยอง – จากกรณีเรื่องราวของ ‘น้องแพน’ ผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับเงินบริจาคกว่า 7 ล้านบาทเพื่อรักษาตัว แต่สุดท้ายเสียชีวิตลง โดยมีเงินเหลือในบัญชีประมาณ 4.8 ล้านบาท พร้อมรถกระบะ 1 คัน และรถเก๋งอีก 1 คัน ได้กลายเป็นประเด็นพิพาทเรื่องมรดก เมื่อพ่อแท้ๆ ได้ยื่นเรื่องต่อศาลขอเป็นผู้จัดการมรดก และมีรายงานว่าประกาศจะไม่แบ่งเงินส่วนนี้ให้ใครเลย
เดิมทีมีการพูดคุยและจัดสรรเงินส่วนหนึ่ง โดยระบุว่าจะแบ่งให้ยายและน้าตามพินัยกรรมคนละ 1.2 ล้านบาท และ 1.5 ล้านบาทตามลำดับ ส่วนที่เหลือจะแบ่งให้พ่อ 1.1 ล้านบาท และน้องชายของน้องแพน 5 แสนบาท อย่างไรก็ตาม ล่าสุดพ่อกลับไม่พอใจและดำเนินการทางกฎหมายเพื่อขอจัดการมรดกทั้งหมดเอง
ประเด็นร้อนนี้ถูกนำมาตีแผ่ในรายการ ‘โหนกระแส’ เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ดำเนินรายการโดย ‘หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย’ โดยได้เชิญผู้เกี่ยวข้องมาร่วมพูดคุยและชี้แจงข้อเท็จจริง ทั้งยายแจ๋ว ยายน้องแพน, สมจิตร และ นวลจันทร์ น้าสาว, ดิเรก วิเชียรเจริญ ผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งเป็นหนึ่งในพยานและผู้จัดการมรดกตามพินัยกรรมฉบับแรก, แมน สะพานบุญ ผู้ประสานงานเรื่องการบริจาค และ ทนายแก้ว ดร.มนต์ชัย จงไกรัตนกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย
แมน สะพานบุญ เล่าถึงจุดเริ่มต้นของการช่วยเหลือว่า น้องแพนได้ติดต่อมาเพื่อขอความช่วยเหลือเรื่องค่าเดินทางไปรักษาที่โรงพยาบาลรามาฯ ซึ่งต้องใช้เงินประมาณ 20,000 บาท ทางกลุ่มได้เผยแพร่คลิปของน้องแพนจนได้รับเงินบริจาคเบื้องต้น 40,000 บาท ต่อมาเมื่อน้องแพนอาการทรุดหนักและมีคลิปที่แสดงความยากลำบากในการใช้ชีวิตเผยแพร่ออกไป ทำให้เรื่องราวของน้องแพนกลายเป็นที่สนใจของสาธารณชนและสื่อมวลชน โดยเฉพาะรายการข่าว ทำให้มีผู้บริจาคเข้ามาเป็นจำนวนมาก ยอดเงินบริจาคพุ่งสูงถึง 7.7 ล้านบาท ณ ตอนนั้น น้องแพนได้แจ้งความจำนงว่าเพียงพอแล้วและขอให้ปิดบัญชีรับบริจาค
ผู้ร่วมรายการได้ชี้แจงว่า เงิน 7.7 ล้านบาทนั้น ส่วนหนึ่งได้นำไปใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล และซื้อรถยนต์เพื่อความสะดวกในการเดินทางไปหาหมอ นอกจากนี้ มีการโอนเงินส่วนหนึ่งให้กับพ่อของน้องแพนไปก่อนหน้านี้เพื่อใช้ซื้อที่ดินที่จังหวัดมุกดาหาร
ประเด็นสำคัญอยู่ที่ พินัยกรรมฉบับแรก ที่น้องแพนทำไว้ก่อนเสียชีวิต โดยมีผู้ใหญ่บ้านและผู้อำนวยการเถิงเป็นพยาน ในเอกสารระบุชัดเจนว่า มอบหมายให้ ผู้ใหญ่ดิเรก และ นางสาวสมจิตร (น้าสาว) เป็นผู้มีอำนาจจัดการดูแลเงินทั้งหมดในบัญชีธนาคารกรุงไทย สาขาบ้านค่าย และแบ่งเงินจำนวนหนึ่งให้แก่ ยาย (1.2 ล้านบาท), น้าสาว (1.5 ล้านบาท), และหลาน (ลูกของน้องชาย) (5 แสนบาท) ในพินัยกรรมฉบับนี้ไม่มีชื่อของพ่อ
หลังจากน้องแพนเสียชีวิตและครบกำหนดทำบุญ 100 วัน ผู้ใหญ่บ้านได้เรียกประชุมญาติทั้งสองฝ่าย รวมถึงพ่อของน้องแพน เพื่อชี้แจงเรื่องเงินที่เหลือ 4.8 ล้านบาท และอ่านบันทึกถ้อยคำ (พินัยกรรมฉบับแรก) ซึ่งระบุการแบ่งเงินไว้ให้ 3 คนข้างต้น หลังหักส่วนแบ่งตามพินัยกรรมแล้ว ยังคงเหลือเงินอีก 1.6 ล้านบาท ซึ่งในที่ประชุมวันนั้น ทุกฝ่าย รวมถึงพ่อ ก็ได้ตกลงกันว่าจะให้เงินส่วนที่เหลือนี้แก่ฝ่ายพ่อและน้องชาย โดยมีการพูดคุยและตกลงกันว่าจะให้พ่อ 1.1 ล้านบาท และน้องชาย 5 แสนบาท ซึ่งพ่อก็รับทราบและยินยอมในวันนั้น จึงเกิดเป็นหนังสือบันทึกข้อตกลง (ฉบับที่สอง) ขึ้น
อย่างไรก็ตาม ล่าสุด พ่อของน้องแพนกลับยื่นเรื่องต่อศาลขอเป็นผู้จัดการมรดกแต่เพียงผู้เดียว โดยอ้างสิทธิ์ความเป็นพ่อ และมีรายงานว่าประกาศจะไม่แบ่งเงินให้ใคร
ด้านมุมมองทางกฎหมาย ทนายแก้ว ดร.มนต์ชัย จงไกรัตนกุล ให้ความเห็นว่า ตามหลักกฎหมายแล้ว พินัยกรรมฉบับแรกที่ทำขึ้นในขณะที่น้องแพนยังมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน และมีพยานตามที่กฎหมายกำหนด ถือว่ามีความสมบูรณ์ 100% ซึ่งในพินัยกรรมฉบับนี้ได้ระบุผู้จัดการมรดกและผู้รับมรดกไว้ชัดเจนแล้ว การที่พ่อจะมายื่นร้องต่อศาลเพื่อขอเป็นผู้จัดการมรดกนั้น เป็นไปไม่ได้ ตราบใดที่ยังมีพินัยกรรมที่ตั้งผู้จัดการมรดกไว้แล้ว นอกจากนี้ การที่พ่อจะได้รับสิทธิ์ในมรดกหรือไม่นั้น ต้องพิจารณาว่าพ่อได้จดทะเบียนรับรองบุตรตามกฎหมายหรือไม่ หากไม่ได้จดทะเบียนรับรองบุตร พ่อก็อาจไม่มีสิทธิ์โดยตรงในการรับมรดกในฐานะทายาทโดยธรรม นอกเหนือจากทรัพย์สินที่ระบุไว้ในพินัยกรรม
ส่วนหนังสือบันทึกข้อตกลงฉบับที่สองที่ทำขึ้นหลังเสียชีวิต ทนายแก้วชี้ว่า เป็นเพียงข้อตกลงระหว่างญาติ ไม่สามารถลบล้างหรือเปลี่ยนแปลงผลของพินัยกรรมฉบับที่สมบูรณ์ได้ ขณะที่ทรัพย์สินอื่นๆ เช่น รถยนต์ ซึ่งไม่ได้ระบุในพินัยกรรม อาจต้องเข้าสู่กระบวนการแบ่งตามกฎหมายมรดกปกติ หากไม่มีทายาทโดยธรรมที่มีสิทธิ์ ก็อาจต้องพิจารณาผู้มีสิทธิ์อื่นๆ หรือหากพินัยกรรมฉบับแรกครอบคลุมทรัพย์สินทั้งหมด (ด้วยถ้อยคำว่า ‘เงินทั้งหมด’) ก็ต้องเป็นไปตามนั้น แต่ประเด็นอยู่ที่การระบุชื่อบัญชีธนาคารเพียงบัญชีเดียวในพินัยกรรม
ทนายแก้วและผู้ร่วมรายการต่างแสดงความเห็นว่า เงินบริจาคก้อนนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือรักษาน้องแพน การที่เกิดข้อพิพาทและฝ่ายพ่อแสดงท่าทีเช่นนี้ ถือเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมทางด้านคุณธรรมและจริยธรรม แม้ตามกฎหมายเงินที่บริจาคแล้วจะกลายเป็นทรัพย์สินของน้องแพน แต่เจตนาของผู้บริจาคคือเพื่อการรักษา ไม่ใช่เพื่อให้กลายเป็นทรัพย์มรดกเต็มรูปแบบที่ทายาทจะมาแย่งชิงกัน
สถานการณ์ล่าสุด พ่อของน้องแพนยังคงยืนยันที่จะดำเนินการตามกระบวนการทางศาล โดยไม่ยอมพูดคุยหรือชี้แจงกับทางญาติและสื่อมวลชน
ทีมงานโหนกระแสและผู้เกี่ยวข้องยืนยันที่จะติดตามเรื่องนี้ต่อไป โดยทนายไพศาล เรืองฤทธิ์ ก็ได้แจ้งว่าจะเข้ามาช่วยดูแลในทางคดีให้กับฝ่ายยายและน้า เพื่อให้เรื่องนี้คลี่คลายไปตามข้อเท็จจริงและกฎหมาย โดยหวังว่าทุกฝ่ายจะหันหน้ามาพูดคุยกันด้วยเหตุผล.