ผู้นำฝ่ายค้านชี้เศรษฐกิจอีสานติดโควิดเรื้อรัง เปรียบแจกเงินไม่สร้างพายุหมุนในสงครามการค้าโลก
ขอนแก่น – เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2568 นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษในเวทีผู้นำฝ่ายค้านพบประชาชน ครั้งที่ 4 ณ จังหวัดขอนแก่น ภายใต้หัวข้อ “เศรษฐกิจอีสานในสงครามการค้าโลก” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากภาคส่วนต่างๆ ทั้งหน่วยงานรัฐ ผู้ประกอบการ นักวิชาการ และประชาชน เพื่อนำไปสู่การผลักดันแก้ไขปัญหาผ่านกลไกนิติบัญญัติ
นายณัฐพงษ์ ได้ฉายภาพรวมของเศรษฐกิจภาคอีสานว่ามีลักษณะเหมือนคนติดโควิดเรื้อรังที่ไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ทั้งยังต้องเผชิญความท้าทายจากสงครามการค้าโลก โดยระบุว่า แม้ตัวเลขการฟื้นตัวของไทยจะเข้าใกล้ช่วงสถานการณ์โควิด-19 แล้ว แต่เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ไทยกลับมีการขยายตัวที่ช้ากว่ามาก และยังเติบโตช้ากว่าศักยภาพของตัวเองอีกด้วย
ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบคือ กำลังซื้อในกระเป๋าประชาชน ทั้งการบริโภค การส่งออก การลงทุน และการท่องเที่ยว ซึ่งในภาคอีสาน แม้ผลผลิตทางการเกษตรจะมีแนวโน้มดีขึ้น แต่ราคาพืชผลหลักยังมีความผันผวนสูง อาจส่งผลให้ดัชนีรายได้เกษตรกรลดลง ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมยังคงไม่ฟื้นตัวจากกำลังซื้อในประเทศที่จำกัด ประกอบกับปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และความไม่แน่นอนของการค้าโลก
ผู้นำฝ่ายค้านกล่าวเน้นย้ำถึงจุดตัดหลังปี 2568 ที่เส้นการผลิตและเส้นการบริโภคยิ่งห่างออกจากกัน ชี้ให้เห็นว่าการกระตุ้นด้วยการแจกเงิน แม้จะทำให้ตัวเลขการบริโภคสูงขึ้น แต่ตัวเลข GDP ด้านการผลิตกลับต่ำลง เนื่องจากเป็นการซื้อสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศเป็นหลัก
“ทุกวันนี้โลกเปลี่ยนไป วิธีการดำเนินนโยบายแบบเดิม การแจกเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ ในแง่หนึ่งการให้ความช่วยเหลือประชาชนเป็นสิ่งที่ดี แต่อย่าลืมว่าวิธีการอย่างนี้ ไม่สามารถสร้างพายุหมุนทางเศรษฐกิจได้อีกต่อไป เพราะบริบทโลกเปลี่ยนไปแล้ว” นายณัฐพงษ์ กล่าว
นายณัฐพงษ์ ยังได้กล่าวถึงข้อเสนอ “5 เสา” ในการต่อรองเจรจาการค้ากับสหรัฐอเมริกา ได้แก่ เจรจา-กระชับ-รับมือ-เยียวยา-ลงทุน พร้อมแบ่งพื้นที่ภาคอีสานเป็น 4 กลุ่มตามศักยภาพและแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งในอนาคตบางส่วนที่เคยเป็นฐานหลักอาจกลายเป็น “ดาวดับ” หรือเศรษฐกิจที่โลกลืม หากไม่มีการปรับตัว โดยเฉพาะภาคการเกษตรที่ต้องเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตเพื่อแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้าน
อย่างไรก็ตาม ภาคอีสานยังมีจุดเด่นในบางสาขา เช่น ธุรกิจสร้างสรรค์ใน 8 จังหวัด ที่มีกว่า 4 แสนแห่ง และเติบโตเร็วกว่าค่าเฉลี่ยประเทศ รวมถึงสาขาศิลปะและบันเทิง การท่องเที่ยว โดยเฉพาะการท่องเที่ยวสายมู ที่มีศักยภาพเพิ่มขึ้น แต่ยังคงตามหลังในสาขาสารสนเทศและการสื่อสาร
นายณัฐพงษ์ ทิ้งท้ายว่า ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องเป็นเรื่องสำคัญ แต่ปัญหาที่สำคัญไม่แพ้กันและเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศคือ “ทุจริตคอร์รัปชัน” ซึ่งพรรคประชาชนและฝ่ายค้านจะเดินหน้าต่อต้านอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะอยู่ในภาคการเมือง ภาครัฐ ระบบราชการ หรือภาคเอกชน
ภายหลังการปาฐกถา ได้เข้าสู่เวทีเสวนา “เศรษฐกิจอีสานในสงครามการค้าโลก” โดยมีวิทยากรจากพรรคประชาชนร่วมให้ความเห็น ได้แก่ นายวีรนันท์ ฮวดศรี สส.ขอนแก่น, นายอิทธิพล ชลธราศิริ สส.ขอนแก่น, นายชัชวาล อภิรักษ์มั่นคง สส.ขอนแก่น และน.ส.พนิดา มงคลสวัสดิ์ สส.สมุทรปราการ