สพฐ. ย้ำ เปิดเทอม 2568: ห้ามครูอยู่เวรเด็ดขาด! คุมเข้มความปลอดภัย-ลงโทษนักเรียน ยึดระเบียบ ศธ.
กรุงเทพฯ, 17 พฤษภาคม 2568 – ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) เปิดเผยว่า สถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ทั่วประเทศ ได้เปิดภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2568 อย่างเป็นทางการแล้ว โดย สพฐ. ได้เน้นย้ำแนวทางสำคัญในการบริหารจัดการศึกษา เพื่อสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่มุ่งให้นักเรียน “เรียนดี มีความสุข” และลดภาระที่ไม่จำเป็นของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
เลขาธิการ กพฐ. กล่าวว่า สพฐ. ขอให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาและสถานศึกษาทุกแห่งร่วมกันผลักดันเป้าหมายการพัฒนานักเรียนให้เป็น “ฉลาดรู้ ฉลาดคิด และฉลาดทำ” โดยได้กำหนด 5 แนวทางหลักที่สถานศึกษาต้องปฏิบัติเพื่อเตรียมความพร้อมในการเปิดภาคเรียน ดังนี้
- 1. ด้านความปลอดภัยของสถานศึกษา: ให้ความสำคัญกับการดูแลสวัสดิภาพนักเรียนทั้งในและนอกเวลาเรียน
- 2. ด้านการเสริมสร้างโอกาสในการเรียนรู้และสร้างภูมิคุ้มกัน: เช่น การเยี่ยมบ้านนักเรียน 100% การจัดเรียนเสริม และระบบแนะแนวที่ตอบโจทย์บริบทผู้เรียน
- 3. ด้านการสร้างเครือข่ายและความร่วมมือ: ประสานงานกับหน่วยงานในพื้นที่ระดับต่างๆ เพื่อร่วมกันดูแลความเรียบร้อยของโรงเรียน
- 4. ด้านงบประมาณ: ดำเนินการใช้จ่ายงบประมาณตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด
- 5. ด้านแผนเผชิญเหตุ: เตรียมพร้อมรับมือเหตุและภัยพิบัติต่างๆ รวมถึงเฝ้าระวังสิ่งเสพติด (เช่น บุหรี่ไฟฟ้า) และปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อนักเรียน
นอกจากนี้ ว่าที่ร้อยตรี ธนุ ได้เน้นย้ำในประเด็นการลงโทษนักเรียนว่า หากมีความจำเป็น ครูต้องยึดหลักจรรยาบรรณและปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการลงโทษนักเรียนและนักศึกษา พ.ศ. 2548 และกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ซึ่งกำหนดโทษที่อนุญาตไว้เพียง 4 มาตรการ ได้แก่ 1. การว่ากล่าวตักเตือน 2. ทำทัณฑ์บน 3. ตัดคะแนนความประพฤติ และ 4. จัดกิจกรรมเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
สิ่งที่สำคัญและเน้นย้ำเป็นพิเศษคือ “ห้ามมิให้ใช้ความรุนแรง กลั่นแกล้ง หรือ ลงโทษในลักษณะที่ทำให้นักเรียนอับอาย” อย่างเด็ดขาด อาทิ การตัดผมนักเรียนหน้าชั้นเรียน ซึ่งถือเป็นการกระทำที่ขัดต่อแนวทางการคุ้มครองสิทธิเด็ก
สำหรับประเด็นการลดภาระงานของครู เลขาธิการ กพฐ. ได้ย้ำให้สถานศึกษาปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2567 ที่ “ยกเว้นให้ครูไม่ต้องอยู่เวรโดยเด็ดขาด” ผู้บริหารสถานศึกษาต้องไม่ใช้คำสั่งหรือถ้อยคำที่ใกล้เคียง เช่น “เวรความปลอดภัย” หรือ “เวรสมัครใจ” ซึ่งเข้าข่ายสุ่มเสี่ยงขัดมติ ครม.
ว่าที่ร้อยตรี ธนุ กล่าวทิ้งท้ายว่า ทุกฝ่ายต้องร่วมกันทำให้โรงเรียนเป็นสถานที่ราชการและเป็นพื้นที่ปลอดภัยอย่างแท้จริงสำหรับนักเรียน ครู บุคลากร และผู้ปกครอง โดยเขตพื้นที่การศึกษาและสถานศึกษาต้องสื่อสารทำความเข้าใจกับทุกฝ่ายอย่างต่อเนื่องถึงมาตรการด้านความปลอดภัย ทั้งในและนอกเวลาเรียน พร้อมกำหนดแนวปฏิบัติที่เหมาะสมกับบริบทพื้นที่ เช่น กลไกเฝ้าระวังบุคคลภายนอก การห้ามพกอาวุธ สิ่งผิดกฎหมาย การแต่งกายสุภาพ และการห้ามก่อความวุ่นวาย หากพบการฝ่าฝืนต้องดำเนินการตามกฎหมายอย่างจริงจัง เพื่อให้โรงเรียนเป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้ที่ปลอดภัย สร้างการศึกษาที่ “เรียนดี มีความสุข” ให้กับทุกคนอย่างแท้จริง