สศก. เผยเศรษฐกิจการเกษตร ไตรมาส 1 ปี 2568 ขยายตัว 3% รับอานิสงส์ ‘ลานีญา’ หนุนพืชผลโต แต่เตือนจับตาปัจจัยเสี่ยง
สศก. เผยเศรษฐกิจการเกษตร ไตรมาส 1 ปี 2568 ขยายตัว 3% รับอานิสงส์ ‘ลานีญา’ หนุนพืชผลโต แต่เตือนจับตาปัจจัยเสี่ยง
นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงภาวะเศรษฐกิจการเกษตรในช่วงไตรมาสแรกของปี 2568 (มกราคม – มีนาคม 2568) ว่า มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.0 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 ซึ่งเป็นผลมาจากการเข้าสู่สภาวะ “ลานีญา” ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2567 ทำให้มีปริมาณฝนตกมากขึ้นและต่อเนื่องมาจนถึงต้นปี 2568
ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำและแหล่งน้ำธรรมชาติอยู่ในเกณฑ์ดีกว่าปีที่ผ่านมา ประกอบกับสภาพอากาศโดยทั่วไปเอื้ออำนวยต่อการเพาะปลูกและการเจริญเติบโตของทั้งพืชและสัตว์ เกษตรกรจึงมีการขยายเนื้อที่เพาะปลูกในพื้นที่ที่เคยปล่อยว่าง ขณะเดียวกัน การบริหารจัดการฟาร์มและการดูแลเฝ้าระวังโรคในสัตว์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และความต้องการบริโภคสินค้าเกษตรที่เพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจ ก็เป็นอีกแรงหนุนสำคัญ ทำให้ภาคการเกษตรโดยรวมมีการขยายตัวในทุกสาขา ทั้งสาขาพืช ปศุสัตว์ ประมง บริการทางการเกษตร และป่าไม้
ภาพรวมรายสาขาการผลิต
สาขาพืช: ขยายตัวร้อยละ 4.2 ได้อานิสงส์จากปริมาณน้ำที่เพียงพอและสภาพอากาศที่ดี ส่งผลให้ผลผลิตพืชหลายชนิดเพิ่มขึ้น เช่น ข้าวนาปีและข้าวนาปรัง ที่มีการขยายพื้นที่เพาะปลูกและผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้น, อ้อยโรงงาน ที่มีแรงจูงใจด้านราคาและสภาพอากาศหนุนการปลูก, ยางพารา ที่ต้นยางสมบูรณ์ ปัญหาโรคน้อยลง และราคาจูงใจให้กรีดเพิ่มขึ้น, และ ลำไย ที่สภาพอากาศเอื้ออำนวยต่อการออกดอกติดผล อย่างไรก็ตาม พืชบางชนิดมีผลผลิตลดลง เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (เกษตรกรปรับไปปลูกข้าว), มันสำปะหลัง (โรคใบด่าง ขาดท่อนพันธุ์), สับปะรด (อากาศร้อน น้ำน้อย), ปาล์มน้ำมัน (ผลจากความแห้งแล้งปีก่อน), และ ทุเรียน/เงาะ/มังคุด นอกฤดู (สภาพอากาศช่วงออกดอกไม่เอื้ออำนวย/พื้นที่ปลูกมังคุดลดลง)
สาขาปศุสัตว์: ขยายตัวเล็กน้อยที่ร้อยละ 0.1 แม้ว่าสุกรซึ่งมีสัดส่วนมากที่สุดจะลดลง เพื่อควบคุมปริมาณให้สอดคล้องกับความต้องการและป้องกันโรค แต่สินค้าอื่น ๆ มีผลผลิตเพิ่มขึ้น เช่น ไก่เนื้อ (ขยายการผลิตตามความต้องการทั้งในและต่างประเทศ), ไข่ไก่ (สภาพอากาศเย็น เอื้อต่อการให้ไข่ แต่ยังคุมปริมาณเพื่อรักษาเสถียรภาพราคา), และ น้ำนมดิบ (เกษตรกรบริหารจัดการฟาร์มดีขึ้น ลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต)
สาขาประมง: ขยายตัวที่ร้อยละ 0.4 ส่วนใหญ่มาจากการผลิต กุ้งขาวแวนนาไม ที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากเกษตรกรบริหารจัดการฟาร์มดี อัตราการรอดสูง และราคาดีจูงใจให้ปล่อยลูกกุ้งเพิ่มขึ้น ส่วนผลผลิตประมงอื่น ๆ มีแนวโน้มลดลง ทั้งสัตว์น้ำที่นำขึ้นท่าเทียบเรือ (ต้นทุนน้ำมันสูง สภาพอากาศแปรปรวน) และปลานิล/ปลาดุก (ต้นทุนอาหารสัตว์สูง อากาศแปรปรวน ทำให้ลดรอบ/ปริมาณการเลี้ยง)
สาขาบริการทางการเกษตร: ขยายตัวร้อยละ 3.7 โดยตรงจากปริมาณน้ำฝนที่มากขึ้นและสภาพอากาศที่เอื้ออำนวย ทำให้เกษตรกรขยายพื้นที่เพาะปลูก ส่งผลให้กิจกรรมการจ้างบริการเตรียมดินและเก็บเกี่ยวผลผลิตพืชสำคัญโดยรวมเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะข้าวนาปี ข้าวนาปรัง และอ้อยโรงงาน
สาขาป่าไม้: ขยายตัวร้อยละ 1.2 จากผลผลิต ไม้ยูคาลิปตัส (ความต้องการในประเทศและต่างประเทศ), ถ่านไม้ (ส่งออกและในประเทศเพิ่มขึ้น), และ รังนก (อุตสาหกรรมแปรรูปต้องการสูง) ขณะที่ ไม้ยางพารา ลดลง (ราคาดี ทำให้โค่นต้นเก่าน้อยลง) และ ครั่ง ลดลง (สภาพอากาศแปรปรวนไม่เอื้อต่อการเจริญเติบโต)
แนวโน้มและปัจจัยที่ต้องจับตาในปี 2568
สศก. คาดว่าเศรษฐกิจการเกษตรทั้งปี 2568 จะขยายตัวอยู่ในช่วงร้อยละ 1.8 – 2.8 โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากปริมาณน้ำที่เพียงพอและสภาพอากาศที่ยังคงเอื้ออำนวยต่อการผลิต อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ได้แก่ ความแปรปรวนของสภาพอากาศ, ราคาปัจจัยการผลิตที่ยังอยู่ในระดับสูง, และปัจจัยภายนอกอย่างเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว, มาตรการกีดกันทางการค้าที่เข้มงวดขึ้น, และสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ซึ่งอาจกระทบต่อโซ่อุปทานและการส่งออกสินค้าเกษตรไทย
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เตรียมแนวทางการขับเคลื่อนภาคเกษตรเพื่อรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ทั้งในระยะเร่งด่วน เช่น การเตรียมพร้อมรับมือภัยธรรมชาติ, การแก้ปัญหาโรคพืชและปัญหาท่อนพันธุ์, การลดต้นทุนการผลิต, การปราบปรามสินค้าเกษตรผิดกฎหมาย และการรองรับการเปลี่ยนแปลงของโลก และในระยะต่อเนื่อง เช่น การจัดสรรที่ดิน, การพัฒนาระบบประกันภัย, การส่งเสริมการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม, การบริหารจัดการน้ำ, การยกระดับสินค้าเกษตรคุณภาพสูง, การรวมกลุ่ม/เชื่อมโยงเครือข่าย และการพัฒนา Soft Power ภาคเกษตร เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งและความยั่งยืนให้กับภาคเกษตรไทย